Tuesday, December 09, 2014

ไปดูงาน บ.ผึ้งน้อย จ.เชียงใหม่

เป็นบุลเล็ตที่จดไว้ในเศษกระดาษขอลอกไว้ก่อนสูญหาย
  • ติดต่อสมัครงานกรุณาแต่งกายให้เรียบร้อย
  • มองบลังก์
  • คุณยุทธนา ผู้จัดการฝ่ายบุคคล
  • คุณรัตนา ปาละพงศ์ คุณพนิต ปาละพงศ์ ทำมองบลังก์
  • 30ปีแล้ว บ.ผึ้งน้อยเบเกอรี่
  • ขายส่งตั้งแต่ 6-21 น. ทุกวัน
  • ส่วนฝากขาย 5%ของทั้งหมด
  • OTOP มาฝากขาย
  • OEM
  • (โรงงาน)(ขายส่ง)(โรงงาน)(ออฟฟิส)
  • (โรงอาหาร)(เก็บสินค้าฝากขาย)
  • 5-22 น.
  • ขยันทำกิน ไม่บินสูงนัก รักความสะอาด ฉลาดสะสม นิยมสามัคคี
  • คำเตือนเรื่องกินขนม ห้ามใช้ส่วนตัวให้ใช้งานบริษัทเท่านั้น
  • คุณวาสนา แป้นแท้
  • รถออกตั้งแต่ ตี1-5
  • 6 ล้อยาว พิษณุโลก อีสาน นครสวรรค์ พิจิตร ลำปาง
  • ชุดหม้อต้มแก้ส vapourizer
  • 30%ตกค้างในถัง
  • Generator ปั่นไฟ ไฟดับ
  • ตู้แปลงความร้อนแอร์ เป็นน้ำร้อน
  • โกดังเก็บวัตถุดิบ
  • ของสด เนย ไส้ขนาม
  • แผนผังห้องเก็บขนามว่าใส่อะไรตรงไหน
  • ทำสมุดจดประจำตัว ปัญหา สาเหตุ แนวทางแก้ไข
  • เครื่องปั้นกลม
  • เครื่องแบ่งแป้ง
  • กระเช้าอบขนมปัง
  • ขนมปังหัวกะโหลก ตัดซ้ายขวาบนล่าง
  • ม้วนไส้ ไส้กรอกแออัด
  • เค้กกลม ครีมเนย ครีมนม
  • พนักงานตอกไข่แดง ประสิทธิภาพดีกว่เครื่อง
  • 2530 ก่อตั้งที่เชียงใหม่ มี 39 สาขา
  • เรื่องบางอย่างถึงไม่จำเป็นแต่ก็ต้องดิ้นรน
  • bb beverage
  • bb bakery
  • montblanc sweet cafe
  • พัฒนาทีมงาน
  • ปรับปรุงเครื่องือ
  • สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
  • ควบคุมคุณภาพ
  • กระจายสินค้า
  • ปลีกส่ง
  • (บุคคล)(ประสานงาน)(ส่งเสริมOPR)(ขายการตลาด)(ผลิต)
  • ต้องระวังเวลานำเสนอชื่อบุคคลากรอย่ายาวนัก
  • babybee ระดับบน

Tuesday, September 09, 2014

หนังสือที่ประทับใจ

นานๆทีจะเขียนอะไรยาวๆ ได้สักทีขอเซฟไว้ใน บล้อกไว้เชยชมหน่อยนะครับ

ตามที่ Chitpong Few Wuttanan ได้แทกมาถามว่าที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้อ่านหนังสืออะไรมา ที่คิดแล้วนึกออกเลยว่าเออดี อะไรงี้ก็เลยลิสต์ให้ดังนี้
1.หุบเขากินคน มาลา คำจันทร์
..
เรื่องของการผจญภัยข้ามภพของลูกเสือกลุ่มหนึ่งที่ไปเข้าค่ายแล้วหลงป่าข้ามเวลา ย้อนกลับไปยังสมัยขอมเรืองอำนาจ ตัวละครได้แก่ วิชชุ บดินทร์ บุญชู วิทยา และ อัชฌา โดยทุกคนจะมีพลังมากขึ้นแตกต่างกัน เช่น ฉลาดขึ้น ว่องไวขึ้น แข็งแรงขึ้น และบางคนมีคาถาอาคมมากขึ้นโดยทั้งหมดจะต้องช่วยกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ให้สามารถครองบ้านเมืองต่อไปได้ เล่มนี้อ่านครั้งแรกตอนไม่สบายเป็นไข้เลือดออกตอน ป.4 พอเขาเอาเรื่องมาทำละคร ความฝันวัยเด็กก็ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
..
2.นิกกับพิม วณ.ประมวลมารค
..
เรื่องเล่าระหว่างชายหญิงผู้เลี้ยงหมาที่ใช้วิธีสื่อสารกันโดยให้หมานิก และหมาพิม เป็นตัวละคร เขียนจดหมายถึงกัน นิกอยู่เมืองไทย พิมอยู่เมืองนอก เข้าใจว่าเป็นอเมริกา เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน เล่าเรื่องต่างๆ จนมาจบแบบ แฮปปี้เอ็นดิ้ง ได้ เล่มนี้อ่านตอนม.ต้น ได้มั้ง เห็นพี่สาวอ่านก็อ่านบ้าง สนุกจริงๆ โดยเฉพาะตอนท้ายๆที่ไปเจอ คุณนายของตัวละครหญิงที่เป็นคนประหยัดแบบโรคจิตๆ ฮามาก
..
3.อุดมการณ์บนเส้นขนาน อรุณมนัย
..
เป็นหนังสือนนอกเวลาตอน ม.ปลาย ไม่รู้ว่า 4 หรือ 5 แต่แน่นอนมาก ว่าเป็นหนังสือที่ออกแบบมาเพื่อเข้ากับวัยขบถของช่วงนั้นพอดี คืออ่านก่อนนั้น ก็ไม่ดี อ่านหลังนั้นก็ไม่ได้ เนื้อหาหนังสือเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาสาสมัครชาวต่างชาติที่มาอยู่ในประเทศไทยแล้วเห็นความผิดปกติต่างๆในไทย วิธีการคิด วัฒนธรรม ที่ขัดหูขัดตา แล้วตั้งข้อสังเกต แล้วคนไทยก็เห็นด้วยแต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เขาเสนออย่างไร จำได้เลยคือเรื่องการสร้างทางเชื่อมในระหว่างตึกต่างๆ ในโรงพยาบาล ที่จะทำให้หมอและคนไข้ไม่ต้องเดินตากฝน และประเด็นนี้นี่เองที่ทำให้นำมาใช้ในชีวิตจริงและเกิดผลบางอย่างกับโรงเรียนที่เรียนในตอนมัธยม
..
4.สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน วินทร์ เลียววารินทร์
..
เล่มนี้อ่านตอนไปภูเก็ต กับพีซ มาร์ค แบงค์ เจตน์ เพื่อน SIIT น่าจะตอนปี1ขึ้น 2 ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงเอาไปด้วย หรือเอามาจากไหน อาจจะจากงานหนังสือลดราคาสักแห่ง อ่านตลอดเวลา ตั้งแต่ ไปเกาะพีพี ไปแหลมพรหมเทพ ไปกินโอ๊ะเอ๋ว ไปกินโลบะ ไป4-5วันอ่านจนจบเลย คนมักจะประทับใจเนื้อหาในส่วนที่ผู้เขียนใช้คำนามในการเขียนเรื่องราวแล้วแบ่งด้วยเครื่องหมายทับ ว่าเป็นการนำเสนอที่เจ๋งฝุดๆ เบย แต่เรากลับชอบอีกเรื่อง คือเรื่องที่โรงแรมม่านรูดที่มีการติดกล้องแอบถ่ายพฤติกรรมต่างๆ ของคนที่มาใช้บริการ แล้วอัดเทปไว้ดู จำได้ด้วยว่า อ่านไปแล้วเก็บไปฝัน ฝันว่าสอบวิชาฟิสิกส์ได้ F+ ยังตื่นมาถามเพื่อนเลยว่า เฮ้ย มันมีเกรดนี้ด้วยหรือเปล่า 555
..
5.หลังอาน บินหลา สันกาลาคีรี
..
เล่มนี้อ่านตอนปี 4 แล้ว ถ้าจำไม่ผิด ฟ้า วิภาวดี เป็นคนเอามาให้ยืม อยู่ในยุคเดียวกันกับ ชุดประดานำกับผีเสื้อ ที่กระพริบตาแต่งหนังสือได้ทั้งเล่ม
และ วันอังคารกับครูมอลลี่ ครูที่จะตายแต่มาสอนหนังสือทุกวันอังคาร อะไรซักอย่าง แต่ จำได้ไม่ชัดเจนเท่าไร เอาเป็นว่า หลังอาน เป็นเรื่องของคุณบินหลา
ที่หาญกล้าจะขี่จักรยานจากเชียงใหม่มากรุงเทพ อ่านแล้วทำให้เกิดความฮึกเหิมขึ้นในจิตใจที่จะทำอะไรบ้าๆบอๆ ทำให้ปี4 ปีนั้น นั่งรถไฟไปจังหวัดตรัง กับแบงค์ธนา หลายวัน และนั่งเครื่องบินไปเที่ยวหลวงพระบางกับจู๋ วรวฺธ สัปดาห์นึง บ้าชิบเป๋ง
..
6.พันธุ์หมาบ้า ชาติ กอบจิตติ
..
โห.. เรื่องนี้แบบว่าเล่าไม่ถูกเลย จำได้ว่าหยาบมาก แรงมาก เผยด้านมืดของวัยรุ่นอย่างมากๆ เลย ทั้งยาเสพติด เซ็กส์ ตีรันฟันแทง ปัญหาครอบครัว ครบรสเลย จำตัวละครได้ตัวเดียวคือ อ๊อตโต้ และอีกคนที่เอามีดแทงพ่อ หรือไงนี่ล่ะ เป็นหนังสือที่แนะนำให้อ่านตอนเรียนป.ตรี เพราะถ้าอ่านตอน มัธยม จะคิดเอาเยี่ยงอย่าง อ่านตอนเรียนจบ ป.ตรี มาแล้วก็ไม่อินแล้วครับ อ่านไว้จะได้รู้ว่าชีวิตมันลงต่ำสุดได้ยังไง แล้วกลับขึ้นมาได้ไหม
..
7.ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน วินทร์ เลียววารินทร์
..
เล่มนี้จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจอ่านพูดเลย พ่อซื้อมาวางไว้บนโต๊ะทำงานแล้วก็ไม่เห็นอ่านเสียที ก็เลยรำคาญเอามาอ่านซะเลย ปรากฏว่า วางไม่ลงทีเดียว
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนสองคนที่ใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงปฏิวัติรัฐประหารต่างๆ
เข้าป่าคอมมิวนิสต์ สารพัด แต่ทั้งสองคนก็รักกันบ้างเกลียดกันบ้างตามยุคสมัย แต่ทุกช่วงที่จบยุค นั้น จะมีการหักมุมอย่างรุนแรงทุกครั้ง เรื่องจบอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน เอาความเจ๋งมาแบ่งเป็นตอนๆ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เอามารวมไว้ในนิยายเรื่องเดียวเลย
..
8.The The Davinci Code Dan Brown
..
อันนี้ก็ไม่ต้องอธิบายมาก รู้ๆกันอยู่ว่าสนุกสนานขนาดไหนเนอะ
..
9.ชีค ประภัสสร เสวิกุล
..
เล่มนี้ที่กล่าวถึงเพราะเป็นนิยายเรื่องยาวเรื่องล่าสุดที่ได้อ่านจนจบ ระหว่างทริปการเดินทางไปขอนแก่นด้วยรถทัวร์ ที่นานมาก เริ่มขึ้นรถ11น.ก็อ่านเลย
จน 18.00 น. แดดหมด ก็หยุดอ่าน เข้าโรงแรมก็อ่านอีกหน่อย ขากลับก็อ่านอีก จนมาถึงนครสวรรค์โดยสวัสดิภาพ เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในเขตทะเลทรายแถวอาหรับซักแห่ง เป็นเรื่องชีวิตของเด็กหนุ่มลูกหัวหน้าเผ่าเบดูอินที่พ่อถูกฆ่าตายต่อหน้า ทั้งๆที่พ่อเขาเป็นคนดีที่พยายามรวบรวมเผ่าต่างๆ เข้าด้วยกันแต่มาขัดผลประโยชน์กับชาวยุโรป ที่จะเข้ามาทำสัมปทานน้ำมัน เด็กหนุ่มโตขึ้นพร้อมกับความแข็งแกร่ง การฝึกฝนทางการรบ การใช้ชีวิตต่างๆ คุณประภัสสร เล่าเรื่องโดดไปโดดมาหลายฝ่าย ต้องจำชื่อให้แม่น จะได้รู้ว่าตอนนี้อยู่ด้านไหนแล้ว เรื่องหักมุมมีมาตลอด แต่ไม่แรงเท่า คุณวินทร์ ส่วนตอนจบห้วนไป ถ้าไม่นับตอนจบ ช่วง 90%ของหนังสือก็สนุกมากทีเดียว เม็ดทรายในทะเลทรายทุกเม็ดก็เหมือนๆกัน อยู่ที่ว่าเม็ดไหนจะถูกนำไปเจียรนัยเป็นแก้วที่มีคุณค่า อืม..
..
10.Wish us Luck ขอให้เราโชคดี แวววรรณ-วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์
..
เล่มสุดท้าย เป็นเล่มล่าสุดที่อ่าน จริงๆ ได้ยินชื่อมานานแล้วแต่ยังไม่ได้อ่านเสียที พอดีว่าไปเปิดหน้าบัญชีขายหนังสือกับ บริษัทบันลือบุ๊คส์จำกัด
เขาส่งหนังสือมาฝากขายก็เลยหยิบมาQC หน่อย อ่านไปวางไม่ลงทีเดียว จำได้ว่าคืนนั้นอ่านต้งแต่ 22.00-04.00 วันรุ่งขึ้นเลย สนุก ลุ้น จิกกัดเจ็บๆ พอประมาณ เรื่องมีอยู่ว่า สองสาวฝาแฝด แวววรรณ วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์ จะเดินทางกลับประเทศไทย จาก อังกฤษ ด้วยวิธีการนั่งรถไฟ ตลอดทาง ตั้งแต่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอะไรอีกประเทศนึง แล้วเข้ารัสเซีย มองโกเลีย จีน เวียดนาม ลาว ไทย ซึ่งอ่านแล้วรู้สึกว่าเจ๋งดีแฮะ ใจกล้ามาก ซึ่งในตอนที่ได้ยินว่าเธอสองคนทำเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อปีก่อน ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการไปเที่ยวเกาหลี และ ข้ามต่อไปญี่ปุ่นด้วยวิธีการนั่งเรือเฟอร์รี่ (จากปูซาน ไป ชิโมโนเซกิ) ซึ่งไปนั่งก่อนเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเรือเซวอล นะครับ
โดยรวมหนังสือเรื่องนี้ก็สร้างแรงบันดาลใจได้ดี อ่านสนุก ภาพสวยครับ
..
เอ้า สาแก่ใจกันแล้วไหมครับท่านผู้อ่าน ถ้าใครคาดว่าผมจะเขียนว่าผมอ่านหนังสือประเภท ปรัชญา ธรรมะ หนังสือเท่ๆ หรือ อะไรเทือกๆนั้นก็ขออภัยที่อาจจะผิดหวังบ้าง อาจจะมีก็ได้ แต่ตอนนี้คิดออกเลย มีเท่านี้ ถ้าวันหลังคิดออกเดี๋ยวค่อยบอกนะครับ
ยังนึกไม่ออกว่าจะแท็กใครต่อดี ก็เว้นไว้ก่อนละกันนะครับ ขอบคุณครับ

Monday, September 08, 2014

ไปเชียงใหม่5-7กย.57

รีบเขียนเลยเดี๋ยวดองลืมอีก

ไปเชียงใหม่ประชุมร้านเครื่องเขียนครับ เอาสั้นๆ พอนะครับ ไม่ดราม่ามาก และไม่บรรยายยืดเยื้อ


  1. ไปด้วยรถทัวร์ของยี่ห้อ พรพิริยะทัวร์ ราคาVIP 449 อยู่ชั้นล่างของรถ2ชั้น นอนสบายแต่ไม่มีทีวีดูและอยู่หน้าห้องน้ำ แอร์พุ่งใส่หน้านอนลำบากมากต้องเปลี่ยนที่นอนไปมา ถ้าเลือกไม่vipด้านบน385บาท เก้าอี้เล็กกว่าแต่น่าจะดีหน่อยเพราะไม่ต้องทนห้องน้ำ ออก 23.00 น. ถึงเชียงใหม่ 6.30 น. เช้ามาก แวะกินข้าวร้านขวัญ2 สลกบาตร เอาคูปองไปแลกก๋วยเตี๋ยว บอกไว้ก่อนเลยคราวหน้าอย่ากินก๋วยเตี๋ยว ไม่อร่อยนะ เจอเอ็กซ์ YEC ลำพูน ที่เพิ่งอบรม SEED 1 กลับมากับ บ.ลิกไนท์ ทัวร์ ลืมถามว่ามันดียังไง วันหลังจะได้ใช้บริการบ้าง
  2. เช่ารถมอไซด์ที่ร้านแถวนั้น จำชื่อร้านไม่ได้ เลี้ยงหมาบีเกิ้ลไว้หลายตัว แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้บริการbikky เพราะมันยังไม่เปิด เขาคิด 200 บาท/วัน เช่า 2 วัน ก็ 400 ง่ายๆ ไม่มีมัดจำใดๆ เอาบัตรประชาชนไว้แล้วก็เอารถไปได้เลย แวะเติมน้ำมันให้เขา 100 นึง กะจะใช้เยอะแต่ที่ไหนได้แทบไม่ยุบเลย ถึงแม้ว่าวันกลับจะเอามาส่งก่อน 6.30 ก็ไม่ลดราคานะ เหมาเป็นวันๆ ก็ไม่ว่ากัน เช่ารถเวฟ เกียร์ธรรมดาเหมือนเดิม
  3. ออกไปหลงทางตามเคย หนาวและฝนตก ตำหนิตัวเองที่ไม่เอาแจ็กเก็ตอะไรมาเลย ข้ามสะพานนครพิงค์มาแล้วก็หลงทางอีก จำไม่ได้ว่าอะไรไปทางไหน วนๆ สักพัก แล้วดันเอาโน้ตบุ๊คมาด้วย โคตรจะไม่สะดวกเลย เป้สะพายใส่เสื้อผ้าแล้วมือหิ้วโน็ตบุ๊คทุลักทุเลมาก
  4. หาทางจนเจอคูเมืองวนซะรอบ สมเพชร ไปแจ่งหัวริน แล้วยูอีกทีหน้าศรีโตเกียวเชียงใหม่ราม เข้าห้วยแก้ว ฝนตกเพิ่มขึ้น ตายละ จะถึงโรงแรมไหมเนี่ย เป็นข้อคิดเลยนะ ว่าถ้าฝนตกนี่ การเช่ามอเตอร์ไซด์นี่เป็นวิบากกรรมมากๆ ถึงแยกคลองชลประทานก็เลี้ยวขวาไปเจอโรงแรมอยู่อี่กฝั่ง ต้องยูเทิร์นรถมา
  5. จอดแล้วขอเขาเช็คอินก่อนเวลา ปรากฏว่าห้องว่างเช็คอินได้ ดีมาก เพราะตัวเปียกอยากอาบน้ำนอนมาก ขึ้นห้อง ห้องสวยหรูดี มีปลั๊กไฟน้อยไปหน่อย อาบน้ำแล้วก็เปิดคอมทำบทความหอการค้าต่อจนลืมว่าจะนอนนี่หว่า แล้วก็หิวด้วย จะเอาคูปองอาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ไปกิน เขาก็บอกว่าไม่ได้มันระบุวันไปแล้ว ก็เลยลงมาออกไปข้างนอกก็ได้
  6. อาหารเช้าที่เซลส์เครื่องเขียนแนะนำคือ ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นยาจีน ถ้ากะไม่ผิดน่าจะเป็นอยูุ่มุม แจ่งกู่เฮือง (ตะวันตกเฉียงใต้) อร่อยดี ชามละ 50 บาท จริงๆอยากกินอีก แต่อยากไปหาอะไรอย่างอื่นกินบ้าง
  7. ขี่วนไปแถววัดพระสิงห์และหลงทางไปแถวหน้าสามกษัตริย์ แวะไปที่ พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา เพราะเป็นที่เดียวที่คราวก่อนไม่ได้เข้าไป ดูๆแล้วความน่าสนใจไม่เท่ากับอีก 2 ที่ๆไปคราวก่อนนนะ ถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วไปดีกว่า
  8. ไปตลาดวโรรส มาเชียงใหม่หลายที ไม่เคยไปถึงเสียที แล้วก็สับสนทุกทีว่าตลาดดอกไม้ ตลาดต้นลำไย อยู่ตรงนี้แล้วตลาดวโรรสมันอยู่ตรงไหน ทั้งๆที่มันอยู่ที่เดียวกันเลย ต้องใช้เทคนิคการจอดมอไซด์นิดหน่อยเพื่อไม่ให้พนักงานเทศบาลมาเก็บค่าจอด  อิอิ
  9. ในตลาดมีของฝากมากมาย ที่ฮิตๆ เช่น ร้านดำรงค์ ขายหมูทอด น่ากินมากแต่คนเยอะอยู่ร้านเดียว เราก็กะไว้ในใจว่าพรุ่งนี้จะมาซื้อ (แต่ถึงเวลาก็ไม่ได้มาเพราะคิดว่าจอดรถยากเกินไป) เรากินข้าวซอยในตลาดต้นลำไย แล้วออกเดินทางไปหาญาติที่ฝั่งหนองหอย
  10. เสร็จจากหาญาติแล้วก็กลับมาที่โรงแรม เขาเริ่มงาน 13.00 ก็พอดีๆ
  11. มีทางลัดสำหรับการมาที่ ร.ร.คุ้มภูคำ คือ ไปทาง ถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ ด้าน เมญ่า แล้วเข้าซอย โทรคมนาคม หรือ ซอยถัดไปก็ได้ เข้าไปจนสุดแล้วเลี้ยวขวา สุดอีกทีจะเจอโลตัสเอกเพรส แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะไปโผล่ถนนเลียบคลองชลประทานได้ ก็จะเลี่ยงรถติด และ ไม่ต้องไปยูเทิร์นไกลนะ
  12. กิจกรรมในงานก็รันไปปกติ
  13. ตอนเย็นหลังจากจบงานแล้วออกไปเที่ยวเล่นกลางคืนหาของกิน เมืองนี้หาของกินเล่นพวกขนมปัง น้ำปั่นกินยากเหมือนกันนะ หรือเราไม่รู้แหล่ง ไปแถวนิมมานก็งั้นๆ มาคนเดียวไม่ค่อยกล้าเข้าไปเที่ยวพวกวอร์มอับ อะไรพวกนั้น กลับโรงแรมดีกว่า ง่วงแล้ว
  14. นอน
  15. ตื่นสายอดกินมื้อเช้าที่โรงแรม แต่ก็ใช้เวลาที่มีนิดหน่อยนั้น เขียนบทความหอการค้าจนเสร็จ หลังจากนั้น เช็คเอ้าท์เลย ออกไปหาอะไรกินต่อ
  16. ด้วยความขี้เกียจไปเบียดกับคนที่ ตลาดวโรรสแล้ว ก็เลยว่าจะซื้อของฝากที่ ตลาดต้นพยอมละกัน เลยยิงตรงจากหน้าโรงแรมไปตลาดต้นพยอมเลย ถนนเดียวกัน แวะซื้อของ ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม หมูยอ ใจจริงอยากกินแค้บหมูมาก แต่ไม่มีร้านไหนยื่นให้ชิมและทางบ้านก็บอกว่าไม่ต้องซื้อมาเพราะมันอ้วน อีกอย่างที่อยากกินมากคือ แกงฮังเล ดันมีแต่ร้านที่ขายกับข้าว แต่ไม่ได้ขายข้าว ทำให้ซื้อกินไม่ได้ ไม่มีจานใส่ด้วย เซ็งจริงๆ เลยต้องสั่งข้าวผัดพริกแกงกินหลังตลาดนั่นล่ะ ไม่ได้อร่อยมากแต่หิว และให้น้อยด้วย
  17. แนะนำทางลัดอีกแล้ว ถ้าออกมาจากตลาดต้นพยอมจะเจอสี่แยกด้านนึง และจะเจอคลองชลด้านนึง ถ้าไม่อยากไปยูเทิร์น และไม่อยากรอสี่แยก แนะนำให้เข้าซอย ที่เป็นอาบอบนวดอมรินทร์ ข้างๆ ไปแล้วหาซอยเชื่อมด้านซ้าย จะโผล่ไปถนนใหญ่ไม่รู้ชื่ออะไรได้ แล้วออกมาเจอสี่แยกจะเลี้ยวขวากลับเข้าเมืองได้เลย
  18. ตรงไปเจอคูเมืองแล้วเลี้ยวเข้าเมืองไป จุดหมายต่อไปคือ ไปกินข้าวร้านเฮือนเพ็ญ เห็นเขาว่าขึ้นชื่อเรื่องอาหารเหนือ จริงๆ อยากไปกินเฮือนใจ๋ยองอะไรที่เพื่อนๆ ไปกินมาเมื่อคราวก่อนแล้วเราไม่ได้ไป แต่ดูแล้วไกลมาก ขี่มอไซด์ไปไม่ไหว กินนี่ล่ะ
  19. เจอร้านแล้วสั่งเลย เกาเหลาน้ำเงี้ยวกับข้าวจิ้นหมู เป็นข้าวคลุกหมูสับเหมือนข้าวผัดหนำเลี้ยบ กับ พริกแห้งแตงกวากระเทียม และสั่งหมูทอดมาจานหนึ่ง อร่อยดี รวมราคา 140 บาทถ้วน รีบกินรีบไป แต่อิ่มมากๆ เลยนะ
  20. แวะวัดเจดีย์หลวงแป้บนึง คราวก่อนมาตอนกลางคืน ไม่ค่อยเห็นอะไร วันนี้มากลางวัน สวยงามมาก และเพิ่งเห็นด้วยว่าที่นี่คือตำแหน่งศาลหลักเมืองเชียงใหม่ มีเสาอินทขีล ตามความเชื่อของลานนาโบราณด้วย
  21. บ่ายโมงแล้วกลับบ้านดีกว่า ขี่รถหลงอีกแล้ว ไปทางถนนช้างม่อย แอบเข้าซอยเพื่อจะไปสะพานนครพิงค์ หลงไปหลงมา2-3 รอบ จนสำเร็จ ก็ข้ามสะพานขับตรงๆอย่างเดียวเลยครับ เชียงใหม่รถติดมาก ตั้งแต่เมื่อวานก็สังเกตมาทีนึงแล้ว แถววฮิปๆ นิมมาน ห้วยแก้ว นี่อย่างนานเลยครับ ต้องวางแผนการเดินทางดีๆ ไม่มีธุระทางนั้นก็ไม่ต้องเข้าไป ถ้ามีซอยเล็กน้อยแถวข้างๆ ก็ลองเข้าไปดู เผื่อเป็นทางลัดได้
  22. ไปจนถึงอาเขต เขารถไปคืนร้านเขา เขาคืนบัตรประชาชนให้ เราไปขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน ยี่ห้อ ศรีทะวงศ์ (ชยสิทธิ) เวลา 14.00น. ราคา 385 บาท คราวนี้ไม่มี vip แล้ว เพราะเราคงไม่หลับตลอดทางหรอกมันกลางวันแล้ว ขึ้นรถปรับเบาะปุ๊บ หลับปั็บ รถยังไม่ทันออกเลย อิ่มจัด
  23. รถจอดเป็นระยะๆ ตาม บขส.ของจังหวัดต่างๆ และแวะกินข้าวที่ร้านขวัญ 2 สลกบาตรดังเดิม ถึงบ้านตอน 21.30 น. น่าจะได้นะ
จบการีวิวอย่างด่วนๆ ครับ ขอบคุณครับ

Friday, March 28, 2014

ไปเชียงใหม่ ธ.ค.2555 (วันที่ 5 วันสุดท้าย ซะที)

ตื่นเช้ามาหิวมาก เก็บของลงไปคืนกุญแจพร้อมรับเงินค่ามัดจำกุญแจห้องคืน รีบบึ่งออกไปหาไรกินก่อน ไม่กลับไปกินโจ๊กพยอม หรือศรีพิงค์เมื่อวานแล้วนะ เพราะคิดว่างั้นๆ เคยได้ยินชื่อเสียงของ โจ๊กสมเพขร มาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้เลยตัดสินใจไปกินโจ๊กสมเพชรครับ

มาเชียงใหม่หลายวันอย่างที่บอกคือเริ่มวาดผังเมืองในหัวออก มีสี่เหลี่ยมกลางเมือง มีถนนห้วยแก้วเฉียงๆทางซ้าย และแม่น้ำปิงทางขวา อาเขตอยู่ข้ามแม่น้ำปิงไป
ถึงจะหิวข้าวแค่ไหนแต่เรื่องกลับบ้านต้องมาก่อน ซื้อนมเซเว่นกินแล้วขี่มอไซด์ไปอาเขตก่อน คราวนี้ไม่ยากเท่าไร เพราะเริ่มรู้ทางแล้ว วนไปด้านประตูท่าแพ แล้วข้ามสะพานนวรัฐไปตรงๆ เลย ได้รถรอบบ่าย3 โมง ของยี่ห้ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว น่าจะวิริยะ หรือ เชิดชัยทัวร์ ยังไงนี่ล่ะ คือกะว่าต้องช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ และ ทันส่งรถมอไซด์คืนแล้วออกจากแถวกาดสวนแก้วกลับมาอาเขตทันนะ โอเค ได้ตํ่วละ ไปหาอะไรกินได้ ขี่กลับอย่างไกลไปที่ โจ๊กสมเพชร ตามเดิม
ป้ายที่ร้านโจ๊กสมเพชร เราสามารถใช้ข้ออ้างแบบนี้กับลูกค้าได้หรือไม่

โจ๊กสิครับ

โจ๊กสมเพชร อยู่บริเวณเลยตลาดสมเพชรมาหน่อย เป็น มุมของสี่เหลี่ยมด้านขวาบน ใกล้แจ่งศรีภูมิ สายแล้วคนไม่ค่อยเยอะเท่าไร มีอาหารหลายอย่าง โจ๊ก ข้าวหน้าหมู ก๋วยเตี๋ยว เราสั่งโจ๊กตามชื่อเสียงที่ได้ยินมา กินแค่อย่างเดียวเพราะกะว่าถ้าจะกลับวันนี้ยังมีของที่กะว่าจะกินแต่ยังไม่ได้กินอีกหลายอย่าง เช่น ข้าวซอย เป็นต้น ออกจากโจ๊กสมเพชรแล้ว ก็สายแล้ว แวะไปหาญาติอีกคนนึงที่เปิดร้านขายยาอยู่ที่ตลาดสมเพชรนี้เอง ทักทายกันพอประมาณ เขาบอกว่าจะฝากลาบเหนือกลับไปให้กิน เราบอกว่าไม่ได้ขับรถมานะ ขึ้นรถทัวร์มา เดี๋ยวจะเน่าหมดนะ ตกลงเลยไม่ฝากไปละ รอญาติอีกคณะที่จะมาเที่ยวตอนปีใหม่ มาเอาไปแทน
ร้านยาของญาติที่ตลาดสมเพชร

ออกจากร้านเขาแล้วก็ไปไหนต่อดีนะ ใจก็คิดว่าควรจะไปหาข้าวซอยอร่อยๆ กินเหมือนเขาบอกว่ามีร้านชื่อ ลำดวนฟ้าฮ่าม เอ..อยู่แถววัดเจดีย์หลวง หรือไงนี่ล่ะ ลองขี่ไปดูก่อน แต่แล้ว ก็มาสะดุดลงที่ หอศิลปะวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ (ศาลากลางหลังเก่า) หลังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ที่เมื่อวานเพิ่งมาเดิน ถนนคนเดินไป เห็นป้ายเขียนว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองเชียงใหม่ อืม น่าสนใจแฮะ เลยจอดรถแล้วเข้าไปดูเลย เราจอดด้านหลังแล้วเดินเข้าทางของเจ้าหน้าที่มา ซึ่งจริงๆ จะไม่ซื้อตั๋วก้ได้ แต่เดินมาถึงข้างหน้าแล้วก็จัดการซื้อตั๋วหน่อย ในพิพิธภัณฑ์วันนี้มีเด็กๆประถมมาดูงานด้วย เราก็เดินตามเด็กๆ ไปรอฟังเจ้าหน้าที่เขาอธิบาย ความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ ในอาคารแรกนั้นเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ล้านนาล้วนๆ เจ้าผู้ครองนคร การรบกับพม่า บุคคลสำคัญต่างๆ จะเน้นมากคือ เจ้าดารารัศมี ชายาในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้ซึ่งนำพาความเจริญต่างๆมาสู่เชียงใหม่ เดินดูจึงได้รู้หลายอย่าง เช่น

- วัฒนธรรมการสร้างเมือง การมีประตูเมืองหลายด้าน บางด้านกำหนดไว้ให้เป็นช่องทางผ่านของคนตายเท่านั้น
- เชียงใหม่เคยถูกทิ้งร้างหลายสิบปี หลังจากสงครามกับพม่า ผู้คนย้ายไปอยู่ลำปางแทน
- การเป็นหัวเมืองทางเหนือของล้านนาทำให้มีแต่คนต้องการ สยาม พม่า ล้านช้าง ยุ่งไปหมด
- มีการกล่าวถึงการรบในสมัยพระไชยราชาธิราชที่เราเห็น มหาเทวีจิรประภา (เพ็ญพักตร์) แต่งเครื่องทรงออกมาต้อนรับด้วย



มีอีกเยอะ แต่ตอนนี้นึกออกเท่านี้ มันนานมาแล้ว แนะนำเลยสำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์ ไปดูแล้วจะได้ความรู้มาก เทคนิคการจัดแสดงก็ค่อนข้างดี มีอุปกรณ์ให้จับ ยก กดปุ่ม มีเสียง วีดีโอ อะไรเต็มไปหมด เป็นห้องติดแอร์เดินดูได้สบายๆ เราเข้าใจว่าเขาไม่ให้ถ่ายรูปนะ ก็เลยไม่ค่อยได้เก็บภาพอะไรออกมาให้มากนัก เดินดูจนเลยเที่ยงไปแล้วจึงออกมา พบกับอาคารด้านหลังอีกหน่อยนึง อันนี้สิเจ๋งจริง หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่
(เราซื้อตั๋วแบบเหมา 3 ที่ หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ในราคาถูกมาก ดูในเว็บนี้นะครับ http://www.cmocity.com/)

ตอนแรกกะจะไปกินข้าวก่อน แต่คิดว่าช่างเหอะเดินๆไปให้เสร็จเลยแล้วค่อยไปกินข้างๆ รั้วนี่ก็ได้ โอเค เดินเข้าส่วนหอประวัติศาสตร์แล้ว มีนักศึกษา2-3 คนมาต้อนรับ และอาสาจะพาเราชม อืมแปลกดีนะ เขาพาเข้าไปในอาคารจะมีส่วนการแสดงประวัติความเป็นมาเฉพาะของเมืองเชียงใหม่ในแง่ของการค้า ความเจริญของเมือง ตั้งแต่สมัยลานนา สมัยยุคล่าอนานิคม ยุคที่มีอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามา มีการสร้างสะพานนวรัฐ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง เป็นต้น ส่วนนี้ น้องนักศึกษาบรรยายได้ดีมาก และเราก็เป็นผู้ชมที่เกรียนมากเหมือนกัน แต่ละคำถามที่ถามเขาตอบยากมาก แต่น้องเขาก็พยายามตอบจนได้ เช่น

- ถ้าสยามไม่ยกทัพมาช่วยเชียงใหม่ ทุกวันนี้เชียงใหม่จะเป็นยังไง ...... น้องตอบว่า ตอนนี้พวกเราคงอยู่ในประเทศพม่าค่ะ

- งั้นคนเชียงใหม่เสียใจไหม โกรธไหม ที่จริงๆ นี่เป็นอาณาจักรลานนาแท้ๆ สยามมาเอาไปได้ไง ..... ไม่น่าจะโกรธนะคะ เพราะก็เห็นว่านำความเจริญมาให้หลายอย่างค่ะ

- แล้วเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าครองนครเชียงใหม่คนสุดท้าย เขารู้สึกผิดไหมที่รักษาเมืองตามที่บรรพบุรุษสร้างมาไว้ไม่ได้ ..... ไม่ค่ะ ทุกคนยังเคารพอยู ทุกวันนี้ก็ยังมีบ้านเจ้านายฝ่ายเหนือเลยค่ะ

- คนเชียงใหม่รัก เจ้าดารารัศมี ไหม ..... มากๆ ค่ะ เพราะพระองค์ทรงทำงานเพื่อจังหวัดหลายอย่างค่ะ

- ทำไมสะพานวรัฐในรูปนี้มีเหล็กโค้งๆ แล้วของจริงวันนี้ไม่มีแล้วล่ะ .... อันนี้หนูเเกิดไม่ทัน แต่เขาย้ายส่วนนึงไปไว้ที่ปาย และอีกส่วนเอาไปสร้างสะพานเหล็กข้างๆกันค่ะ

อีกสาระพัดคำถามจากเจ้าหนูจำไม ซึ่งน้องเขาก็ไม่มีทีท่าเบื่อหน่ายและคุยได้สนุกมากๆ จนลืมเวลาไปเลย จนเดินออกนอกอาคารแล้ว น้องบอกว่าอย่าเพิ่งไปค่ะ หนูยังไม่ได้โชว์ของเด็ดของดีให้ดูเลย ... ห๊ะ อะไรของหนู ... บริเวณที่พี่ยืนอยู่นี้ ตอนแรกไม่ได้เป็นแบบนี้นะคะ ตอนแรกจะทำการปรับพื้นที่กันเฉยๆ แต่พอขุดลงไปแล้วเราเจอของดีค่ะ เดี๋ยวหนูพาพี่ไปดู มันอยู่ใต้ดินค่ะ น้องพาเราเดินลงไปใต้ดินของอาคารที่ทำเป็นส่วนจัดแสดง น้องบอกว่า พื้นที่นี้จริงๆ เขาว่าเป็นสะดือเมือง มีเสาอินทขีล หรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ แต่ไม่มีใครเคยเจอหลักฐานจริงๆเลยค่ะ จนกระทั่งมีการขุดลงมา เราเจอซากกำแพง จนเราค่อยๆ ขุดไล่ตามขอบไปเรื่อย และเราก็ได้ ขอบฐานกำแพงเก่าขึ้นมาค่ะ

พลันก็มาถึงห้องจัดแสดง ที่เป็นเหมือนสถานที่ขุดค้นด้วยในที เพราะยังมีน้ำซึมเข้ามา มีตาน้ำ มีระบบระบายอากาศ และเห็นซากกำแพงศิลาแลง อยู่ในเนื้อดินสูงขึ้นมาประมาณฟุตนึงเห็นจะได้ ลากยาวทั้งสองข้างของตัวอาคาร (อธิบายยาก ต้องไปดูเองนะ) เราถึงกับว้าว เลยว่า โคตรฟลุ้คเลยใช่ไหมที่มาเจอซากกำแพงเนี่ย ... ใช่ค่ะ ฟลุ้คมาก มีด้านซ้าย กับ ด้านขวานะคะ ตอนนี้ขุดได้เท่านี้ก่อน ค่อยๆ หาค่ะ ... น้องพาเดินชมทั้งสองด้าน (คิดว่าถ่ายรูปมานะ แต่ว่าหาไม่เจอแฮะ) เรียบร้อยแล้วก็ออกมาด้านบน

เราชมน้องว่านำชมได้เก่งมากๆ เลย ผมประทับใจมาก หากมาเชียงใหม่ครั้งหน้าหรือมีใครจะมาเที่ยวพี่จะแนะนำให้มาที่นี่เลย แล้วก็ร่ำลากันไปครับ

ออกมาคราวนี้หิวล่ะสิ อ้อมข้างๆ รั้วไปกินละ ร้านไหนก็ได้ มีข้าวมันไก่ เกียรติโอชา กับ ร้านข้าวซอย ก็กินมันนี่ล่ะ จริงๆ ก็คนเยอะดี แต่ดูแล้วเป็นร้านสำหรับดักนักท่องเที่ยวมากกว่า รสชาติก็กลางๆ ไม่ได้หวือหวาแต่อย่างใด

ดูนาฬิกามันบ่ายกว่าแล้วนะ ควรจะไปจัดการเรื่องกระเป่าและที่พัก ของฝากอะไรๆ ได้แล้วนะ แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อวานว่าจะไปดูร้านไซเรียงแล้วไม่ได้ไปนี่นา แวะไปดูแป้บนึงดีกว่า รีบขี่มอไซด์ไปร้าน ไซเรียง อุดมผล โดยพลัน

ร้านอุดมผล (ไซเรียง) เป็นร้านขายหนังสือเครื่องเขียนที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย และ ใจกลางเกาะเมืองที่สุด ร้านตกแต่งแบบโบราณด้านนอกเป็นอิฐสีส้มน้ำตาลทั้งหมด มีลานจอดรถด้านหลัง ประตูทางเข้าเล็กๆ มีโปสเตอร์แปะเต็ม ด้านในมี4ชั้นมั้งถ้าจำไม่ผิดนะ ชั้น1-2 ขายหนังสือ ทั้งหนังสือเรียน หนังสืออ่านเล่นต่างๆ ตรงกลางพื้นบุ่มลงไปเป็นบ่อ สำหรับวางโชวืหนังสือแนะนำ โปรโมชั่นต่างๆ ทางขึ้นชั้น2-3-4 อยู่ตรงกลางที่เป็นโถงโล่งไปจนถึงเพดาน บันไดขึ้นแยกกันขวาซ้าย ชั้น 3 เป็นเครื่องเขียน ชั้น 4 เป็นอุปกรณ์สำนักงาน อุปกรณ์งานบ้านงานครัวต่างๆ เช่น โต๊ะเก้าอี้ กระดานไวท์บอร์ด เป็นต้น เรียกได้ว่าร้านนี้สร้างความประทับใจให้ได้เหมือนกัน เพราะรู้สึกว่าใช้พื้นที่ได้ดีกว่าร้านอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน รีบเดินดูรีบออกเพราะพนักงานเริ่มมองแล้วว่ามาซื้ออะไรหรือเปล่าเห็นเดินด้อมๆ มองๆ

ออกมาแล้วก็ระลึกถึงอาจารย์ที่เราจะไปหาเขาในวันแรกที่มาถึงแต่กลายเป็นว่ายังไม่ได้ไปเจอเลย ก็เลยยกโทรศัพท์โทรหาเขา ปรากฏว่าเขาว่างซื้อกับข้าวอยู่ที่ตลาดต้นพยอม เอาเลย ขี่มอไซด์ไปเจอกันเลย ระยะทางไม่ค่อยไกลเท่าไร แป้บเดียวก็ถึง เดินเก้ๆ กังๆ สักพักก็เจอกัน อาจารย์พงศ์สวาท นิยมค้า เป็นอาจารย์ที่ดูแลโครงการ Thai American Youth Cultural Exchange (TAYCE) นักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เราเคยเข้าร่วมสมัย ม.ต้น และเราต้องมาเชียงใหม่แทบทุกสัปดาห์เพื่ออบรมเรื่องต่างๆ

จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไป20ปีได้แล้ว แต่ละคนก็ร่วงโรยไปตามวัย แต่อาจารย์ยังดูมีแววของความกระตือรือล้นอยู่ในที อาจารย์เดินพาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างคล่องแคล่ว อาจารย์มอบลำไยอบแห้ง ชามิ้นท์ และพวงกุญแจ เป็นของที่ระลึกฝากไปให้พ่อกับแม่ ส่วนแคบหมูน้ำพริกไส้อั่วนั้น อาจารย์บอกว่าเธอต้องซื้อเองนะ 555

หลังจากปฏิบัติกิจเรียบร้อยแล้ว ผมถามอาจารย์ว่าอาจารย์ว่างไหมครับหลังจากนี้ .... เธอมีอะไรรึ ... คือ ผมจะเอามอไซด์ไปคืนร้านบิ๊กกี้แล้วผมจะต้องไปอาเขต ผมจะรบกวนอาจารย์ไปส่งหน่อยได้ไหมครับ ... ได้สิ ไม่มีปัญหาเลย เอาของไปใส่รถครูก่อน แล้วเดี๋ยวเธอไปเอากระเป๋าเอารถไปคืนแล้วเจอกันที่ แถวๆที่พักเธอเลย ... ขอบคุณมากๆเลยครับ :)
(ยิ้มแก้มปริเลย)

รีบขี่รถกลับไปคืนที่บิ๊กกี้ แล้วกลับไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่ฝากไว้ที่รีเซปชั่นมาเจออาจารย์พอดี ให้อาจารย์ขับไปส่งที่อาเขตทันเวลาพอดี ถ่ายรูปกับอาจารย์รูปนึงก่อนกลับ
โดยอธิบายภาพว่า "คนที่อยากเจอเป็นคนแรกเมื่อมาเชียงใหม่ แต่เป็นคนสุดท้ายที่ได้เจอ และเป็นคนที่มาส่งกลับบ้านด้วย"


เป็นอันจบทริปเชียงใหม่โดยสมบูรณ์ เพราะพอขึ้นรถแล้วก็นั่งๆ นอนๆ ไม่มีอะไรละ หลับๆ ตื่นๆ จนถึงนครสวรรค์ตอน สามทุ่ม ซึ่งเป็นวันที่เพื่อนๆ YE นครสวรรค์กินงานปีใหม่กันพอดี ก็เข้าร่วมงานเลยแบบงงๆ ใช้ชีวิตคุ้มมากช่วงนั้น

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด 2 ปีนะครับ เดี๋ยวจะเขียนเรื่องเกาหลีญี่ปุ่นบ้าง ไม่รู้จะต้องรออีกกี่ปีถึงจะเสร็จนะครับ

Friday, March 07, 2014

ไปเที่ยวเชียงใหม่ ธ.ค.2555 (วันที่ 4 ตอน 2)

หลังจากออกจากวัดพระธาตุดอยสุเทพแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ สารภาพตามตรงว่าจริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะแวะเลย แต่ด้วยคิดว่า ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว และถ้าไม่แวะ ชีวิตนี้จะได้มาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ และอีกประเด็นคือ ค่าเข้าถูกมาก 555 (ซึ่งตอนนี้ก็นึกไม่ออกแล้วว่าวันนั้นจ่ายไปเท่าไร)  ภายในสงบร่มรื่น มีเส้นทางให้เดินศึกษาธรรมชาติ ดูโครงการเกษตรตามพระราชดำริต่างๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่มีการแปรพระราชฐาน ดังนั้นจึงสามารถให้บุคคลทั่วไปเดินชมได้ทั่วบริเวณ

ส่วนแรกจะเป็นสวนดอกกุหลาบ มีดอกกุหลาบสีแปลกๆ เยอะ บางสีที่ไม่เคยเห็นเช่นสีม่วงก็มี ส่วนที่สองจะมีไม้เมืองหนาวต่างๆ และส่วนถัดไปจะเป็นอ่างเก็บน้ำและน้ำพุดนตรี ส่วนนี้สวยมากๆ มีเพลงบรรเลงประกอบด้วย บรรยากาศดีมากทีเดียวครับ

เดินเล่นไปประมาณชั่วโมงกว่าได้ กินขนมมะพร้าวแก้วที่พกมากับกาแฟประทังชีวิต (ดูน่าสงสารจัง) เนื่องจากในบริเวณพระตำหนักไม่ค่อยมีของกินขาย จะมีแต่ขนม น้ำดื่ม เท่านั้นเองครับ พอออกมาแล้วฝั่งตรงข้ามพระตำหนักถึงจะมีร้านค้าบ้าง เราเดินดูแล้วไม่ค่อยถูกใจก็เลยขี่รถไปต่อดีกว่า เห็นเขาว่าขี่ต่อไปจะเป็นหมู่บ้านแม้วดอยปุย เอ๊ะเป็นยังไงไปดูกันดีกว่า (ยังคงไม่ได้กินข้าวกลางวันเพราะไส้กรอกอีสานเมื่อกี้ยังเต็มท้องอยู่)

ขี่มอเตอร์ไซด์มาเรื่อยๆ จนสุดถนนก็จะพบกับหมู่บ้านแม้วดอยปุย ตอนแรกวาดฝันไว้ว่าจะต้องเป็นอะไรที่กันดาร มีชาวเขาใส่ชุดประจำเผ่า เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ สูบยาเส้น แบบที่เคยเห็นตามสารคดี ปรากฏว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ กลับกลายเป็นแหล่งรวมของที่ระลึกดีๆ นี่เอง เหมือนกับยกเอาถนนคนเดินด้านล่างมาไว้ด้านบนนี้ มีสินค้าหัตกรรมจำหน่าย มีใบชา และสวนดอกฝิ่น ที่ปลูกไว้โชว์ให้ถ่ายรูป สภาพชุมชนอาจเรียกได้ว่าค่อนข้างแออัด เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วมองลงมาจะเห็นหลังค้าบ้านเรียงกันแทบจะชิดกันเลย

เขามีวิธีหลอกล่อนักท่องเที่ยวที่สนใจพิพิธภัณฑ์เช่นเรา ด้วยการติดป้ายชี้ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ชาวเขา เราก็อยากไปดูเลยเดินตามป้ายขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านดงร้านค้า เครื่องเงิน ผ้าไหม เสื้อยืดต่างๆ จนถึงด้านบนสุด ก็พบว่า มันไม่ได้มีอะไรมากมาย มีแต่เครื่องมือเครื่องใช้เก่าๆ เก็บในกระท่อมมืดๆ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเสียค่าเข้าชม 20 บาท หรือไงนี่ด้วย แอบงง นิดๆ ถ้าเป็นชาวต่างชาติคงจะเซ็งมิไช่น้อย

ขาเดินกลับลงมาจากเขา ทนหิวต่อไปไม่ไหวแล้ว ตอนแรกกะว่ามาที่หมูบ้านแม้วนี้ต้องเจออะไรที่ท้องถิ่นมากๆ จะได้กินอาหารแบบที่คนท้องถิ่นกิน จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ ไปตายรังเอาที่ร้านขายข้าวซอยร้านหนึ่ง ที่เขาเคลมว่ามีสาขาอยู่หลายแห่งในเชียงใหม่ เอาเหอะพี่ ยังไงก็ได้ เอามากินชามนึง

ท้องอิ่มแล้วเดินทางต่อได้ คราวนี้ไปไหนต่อดี จริงๆ ก็คิดอยู่ในใจเหมือนเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ถ้าอ้อมดอยสุเทพไปด้านหลังจะเป็น สะเมิง แม่ริม หรือยังไงนี่ จะมีที่เที่ยวอีกเยอะเลย แต่ถนนสายที่เรามานี้มันสุดแล้วนี่ แล้วจะไปไหนต่อได้ แปลว่าการไปสะเมิง แม่ริม มันต้องไม่ได้มาทางนี้ มันต้องขับด้านล่างแน่ๆ แล้วเอาไงดีล่ะทีนี้ ต้องย้อนกลับลงไปอย่างไกลเลยนะนั่น ระลึกได้ว่า ระหว่างทางที่ขี่ขึ้นมานั้น มีป้ายที่บอกว่าไป หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน ด้วยนี่นา จำได้ว่า เฮียเปียว ที่นครสวรรค์เคยพูดถึงว่ามีดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือดอกซากุระเมืองไทย สีชมพูสวยที่จะบานช่วงหน้าหนาวของแต่ละปี อืม..ก็น่าสนนะ งั้นเสร็จจากหมู่บ้านแม้วดอยปุยเราไปดูหมู่บ้านขุนช่างเคี่ยนกันดีกว่า

ย้อนกลับมาทางถนนใหญ่ได้หน่อยก็เจอทางแยกเลี้ยวเข้าไป ทางค่อนข้างแคบ ประมาณ3-4 เมตร เป็นถนนลาดยางผสมลูกรังบ้าง ไม่ค่อยมีรถสวนกันเท่าไร ขี่ไปสักพักก็กังวลว่าจะหลงทาง แล้วก็กังวลเรื่องน้ำมันรถว่าจะหมดหรือเปล่า เพราะเกจ์น้ำมันเริ่มตกมาใกล้ตัว E แล้ว ระยะทางไปอีกไกลหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนัก ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อบ้างขี่หลบหลีกไปเรื่อย คิดว่าถ้าเอารถยนต์เข้ามาน่าจะลำบากมากเพระถนนแคบคงจะสวนกันลำบาก อาจจะตกไหล่ทางลงไปเหวด้านข้างได้ ทางลำบากยิ่งทำให้น่าสนใจว่าจุดหมายปลายทางเป็นอย่างไร ขี่ไปเรื่อยๆ ผ่านสถานีเกษตรขุนข่างเคี่ยน เป็นลักษณะเป็นลานลงไปในหุบเขา รู้ทีหลังว่าเป็นลานสำหรับกางเต็นท์ มีร้านกาแฟของทางสถานีเกษตรอยู่ด้วยที่นี่เขาส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกกาแฟขายกัน อ้าว จบแค่นี้เหรอ ... ไม่มั้ง ไปต่ออีกหน่อยเพราะถนนยังมีทางต่อไป ขี่กันต่อไปครับ จนมาสุดทางที่หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยนนี่เอง

ใช่แล้ว แบบนี้ล่ะ หมู่บ้านชาวเขาที่เราอยากจะมาดู เป็นชุมชนเดิมๆ ชาวบ้านอยู่อย่างสงบๆ ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวแบบหมู่บ้านแม้วดอยปุย มีร้านกาแฟและขายของขำหน้าหมู่บ้าน ต้นนางพญาเสือโคร่งยังไม่ออกดอก คนขายของบอกว่าต้องรออีกสักเดือนนึง โอเค มาผิดเวลา ถึงว่าสิ ไม่ค่อยมีคน 555 เอาเถอะ มาแล้วก็หาอะไรดูเล่นๆ ดีกว่า ขี่มอไซด์ไปตามถนนเลียบข้างๆหมู่บ้านไป จนเจอโรงเรียน ศรีเนรูห์ อืม..เจ๋งไปเลย ได้ดูโรงเรียนเด็กดอยด้วย ถึงแม้ว่าภาพในหัวอาจจะกันดาร แต่โรงเรียนนี้ก็ไม่ถึงกับกันดารมากเพราะยังเข้าถึงง่ายอยู่ โรงเรียนมาแทงก์น้ำ อาคาร บริจาคจากหน่วยงานเอกชนหลายแห่ง ผมแวะไปดูห้องสมุด ดูเด็กๆ อ่านหนังสือ เด็กอีกส่วนหนึ่งเล่นฟุตบอลอยู่ในสนาม ด้านหลังของอาคารเรียนเป็นชานยื่นออกไปจากภูเขา สามารถมองเห็นวิวเมืองเชียงใหม่ที่สวยงามได้อีกมุมครับ สวย สมกับที่บุกป่าฝ่าดงมาดู









ก่อนกลับก็ขอชิมกาแฟที่ขึ้นชื่อของที่นี่สักหน่อย ขมเข้ม แต่เราก็ไม่ใช่คนกินกาแฟเก่งกาจ เพราะปกติกินแต่กาแฟกระป๋อง ก็โอเคล่ะ กลับดีกว่า มาลุ้นกันอีกทีว่าน้ำมันจะหมดหรือเปล่า

ขี่ย้อนทางเดิม เจอนักท่องเที่ยวสวนไปหลายคน ถามว่า "อีกไกลไหม" "ไกลครับ" "แล้วมีดอกนางพญาเสือโคร่งไหม" "ไม่มีครับ ต้องรอเดือนหน้า" หลายคนทำสีหน้าผิดหวัง แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร ไปดูวิวเมืองเชียงใหม่จากโรงเรียนก็ได้ครับ สวยดี

ขากลับรู้สึกว่าทางใกล้ขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าทางลงจากดอยสุเทพไกลขึ้น กว่าจะผ่าน พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ไกลมาก ตอนก่อนลงมาพื้นราบแวะถ่ายรูปวิวเมืองเชียงใหม่อีกรูป แล้วลงละแวะร้านอาหารญี่ปุ่น สึนามิ หน้า มช. รสชาติก็พอไหว แต่ราคากรุงเทพนะครับ กินเสร็จแล้วคิดได้ว่า นี่อยู่ไกลจากทะเลเยอะมากเลยนะ พวกอาหารทะเลกว่าจะมาถึงนี่ไกลมาก เคยมีเคสตอนที่มาเชียงใหม่กับพ่อเมื่อนานมาแล้วสั่ง กระเพราปลาหมึก พ่อดุว่าเดี๋ยวก็ได้กินแบบไม่สดหรอก... จำจนตายเลย อาหารญี่ปุ่นวันนี้เลยกินข้าวหน้าหมูทอดแทน แหะๆ

ทำอะไรต่อดีล่ะวันนี้ ลงมาจากดอยสุเทพแล้ว จริงๆนัดกับเซลล์คนนึงที่อยู่เชียงใหม่ว่าจะให้พาไปแวะดูร้านหนังสือเครื่องเขียนในเชียงใหม่บ้าง เท่าที่รู้มา มีร้านเชียงใหม่สมุดลานนา ร้านอุดมผล(ไซเรียง) ร้านสุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ และได้ยินมาว่ามีร้านเปิดใหม่จากลำพูนอยู่แถวสันกำแพง ลองโทรไปนัดแนะแล้วปรากฏว่าเซลล์ผู้นั้นไม่ว่าง เอาวะก็มาแล้วนี่ หาเอาเองก็ได้

ร้านแรก เชียงใหม่สมุดลานนา อยู่ ถนนช้างเผือก ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ร้านนี้เป็นร้านแรกที่เซลล์แนะนำให้มาดู เป็นร้านเก่าแก่ เป็นร้านที่อยู่ในทำเลดีเหมือนกัน คือตรงข้ามมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เป็นห้องแถว2ห้องแต่ลึกมากมี2ชั้น
การตกแต่งยังไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ของเยอะมาก จนการจัดเรียงบางส่วนดูเบียดๆ เละเทะหน่อย ด้านหน้าจะเป็นส่วนที่ขายเครื่องเขียน อุปกรณ์การฝีมือ สีโปสเตอร์
ส่วนด้านหลังจะเป็นหนังสือ แต่ไม่มากเท่าไร คงคล้ายๆกับร้านศึกษาภัณฑ์ทั่วไป คือไม่ได้เน้นหนังสือ เน้นเครื่องเขียนมากกว่า
ด้านหน้าถอยเข้าไปจากถนนเยอะพอสมควรสำหรับให้ลูกค้าที่มามอเตอร์ไซด์ได้ขี่ขึ้นฟุตบาทมาจอดหน้าร้านได้เลยไม่ต้องจอดริมถนนเพราะ ถนนช้างเผือกนี้เป็นถนนหลักสำหรับออกนอกเมืองเชียงใหม่ทางด้านเหนือรถค่อนข้างเยอะครับ ด้านข้างมีที่จอดรถสำหรับ รับส่งของ มีป้ายห้ามนักศึกษาหรือบุคคลากรของ มหาวิทยาลัยราชภัฏมาจอด สงสัยว่าคงมีการมาจอดแล้วข้ามไปเรียนไปสอนล้วกลับมาเอาตอนเย็น ทำให้ทางร้านขึ้นลงของไม่สะดวก ด้านหลังมีโกดัง และมีซอยออกไปด้านข้าง มีลานจอดรถกว้างๆอีกที่นึง เรียกได้ว่าเตรียมพร้อมสำหรับให้ลูกค้าจอดรถมาก เราเดินวนไปวนมาหลายรอบ มือถือแบตหมดเรียบร้อยจึงถ่ายรูปไม่ได้เลย คนขายก็สงสัยว่าเดินวนไปมาไม่ได้ซื้ออะไร เราก็บอกว่าหาไม้บัลซ่า ซึ่งดูๆแล้วร้านนี้ไม่มีแน่ๆ ร้านนี้มีหลายสาขานะครับ แต่ผมไปแค่สาขาเดียว

ร้านที่สอง จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว อยู่ใน ซ.หมื่นด้ามพร้าคต
ออกมาจากร้านสมุดลานนาไม่นานใกล้ๆ กันมีซอยให้เลี้ยวเข้าไป ตอนแรกไม่คิดว่าจะมีร้านในซอยนี้ กะจะใช้เป็นทางลัดไปโผล่ถนนอื่นเพราะถนนช้างเผือกถ้าแล่นตรงไปจะไม่มีที่กลับรถจนถึงแยกข่วงสิงห์ซึ่งเป็นถนนใหญ่ ไม่สะดวกในการกลับรถเลย เลี้ยวปุ๊ปเจอแหล่งร้านค้า หอพักนักศึกษามากมาย ร้านที่สองนี้อยู่ด้านขวา การจัดพื้นที่คล้ายๆสมุดลานนา มีลานหน้าร้านสำหรับให้รถขึ้นมาจอดได้ ร้านนี้เป็น M&G Shop ด้วย เดินดูในร้าน จัดเดินง่ายกว่าสมุดลานนาแต่ของก็น้อยกว่าด้วย และไม่มีหนังสือเลย เดินดูรอบๆ พนักงานร้านนี้ไม่ค่อยสนใจเราก็เลยไม่ต้องเตรียมคำตอบอะไร

ร้านที่สาม อุดมผล (ไซเรียง) http://zirieng.com/
ร้านนี้หายากมากเพราะเดาไม่ถูกว่าอยู่ตรงไหน ออกจากร้านที่สองไปเราก็ไปโผล่แถว วัดศรีชัยภูมิ ซึ่งอยู่ไปทางตะวันออกของเมือง พยายามขี่วนหลายถนนก็ยังหาไม่เจอ ถามคนแล้วเขาบอกว่าอยู่ใกล้โรงเรียนยุพราช ..ก็คือต้องย้อนกลับไปแถวอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ก็ต้องข้ามเข้าไปในเกาะเมืองอีก ข้อเสียของเมืองใหญ่มากๆ คือคนจะไม่รู้จักชื่อร้านว่าร้านนี้อยู่ตรงไหน ก็เป็นได้ กว่าจะวนหาเจอร้านเขาก็ปิดไปซะแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่

ร้านที่สี่ สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ http://www.suriwongbook.com/
ได้ยินชื่อร้านนี้มานานแล้ว จริงๆ ไม่ได้วางแผนจะไปแต่เป็นการบังเอิญมากกว่า เพราะตอนแรกหลังจากไปไซเรียงไม่ทันแล้ว ก็คิดว่าจะไปหาญาติที่บ้านอยู่แถวหนองหอยดีกว่า
ขี่มอเตอร์ไซด์ไปเรื่อยตามแผนที่ว่าต้องไปถนนศรีดอนไชย พอสุดถนนแล้วเลี้ยวขวาเจอสะพานข้ามแม่น้ำปิงแล้วก็ถึงตลาดหนองหอยละ ปรากฏว่าระหว่างทางที่ผ่านถนนศรีดอนไชยนั้น ก็ได้เจอกับร้านหนังสือ สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ครับ รีบเลี้ยวรถข้ามเลนไปจอดเลย ร้านที่นี่ใช้พื้นที่ใต้ถุนเป็นลานจอดรถ ด้านหน้าทำเป็นร้านกาแฟสตาร์บั๊คและร้านขายนิตยสาร ส่วนบนชั้น2แบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นโรงเรียนกวดวิชา ห้องประชุม อีกด้านเป็นร้านหนังสือ ในส่วนร้านหนังสือแบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนขายเครื่องเขียนและส่วนขายหนังสือครับ การตกแต่งโดยรวมสวยดี ดูเรียบง่าย ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีสว่างตา ขนาดไม่สูงนัก คนเดินก็จะเห็นกันทุกคน แบ่งส่วนหนึ่งจำหน่ายหนังสือภาษาต่างประเทศด้วย เจ๋งดี รู้สึกขนาดพื้นที่น่าจะพอๆกับครึ่งนึงของโรงยิมเนเซียมโรงเรียนได้เลยครับ เดินดูรอบๆ จนเขาใกล้จะปิดก็ออกมาครับ ไม่ได้ซื้ออะไร ตอนก่อนออกถึงได้เห็นว่าเขาขายหนังสือเรียนเหมือนกัน

ต่อนะครับขี่มอไซด์ต่อจนสุดถนนศรีดอนไชย เจอสามแยก จะเลี้ยวขวาดันมีป้ายห้ามเลี้ยว ซวยล่ะสิ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนเรื่อย พยายามเหล่หาสะพานข้ามแม่น้ำปิงจนถึงถนนท่าแพ ก็จะเจอสะพานนวรัฐ ซึ่งข้ามไปอีกฝั่งได้ พอข้ามไปแล้วถึงมองกลับไปเห็นว่ามีสะพานเหล็กแบบในหนังเรื่องเพื่อนสนิทด้วย แต่เราเลยมาแล้ว พอลงสะพานข้ามฝั่งได้ก็พยายามย้อนมาทางสะพานที่เราเล็งไว้ตอนแรกว่าอยู่ใกล้ตลาดหนองหอย การล่องมายิ่งทำให้หลงทางมากขึ้น เข้าถนนสายเชียงใหม่ลำพูน เหมือนจะเคยได้ยินว่าหน้าบ้านญาติมีต้นยางใหญ่ๆ โอเคงั้นลองไปถนนนี้ล่ะ เลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ บางช่วงก็ไม่เห็นแม่น้ำก็แอบกลัวว่าจะหลง ขี่ไปเรื่อยๆ พยายามมองทาง สุดท้ายก็เจอตลาดหนองหอยจนได้ แต่หาร้านญาติไม่เจอแบบซุ่มซ่ามมาก ถึงขนาดที่ว่ายืนอยู่หน้าร้านเขาแล้วก็ยังมองไม่เห็น ต้องไปถามร้านข้างๆด้วย อย่างฮา หลังจากโทรคุยกันแล้วทราบว่าร้านญาติเขาปิดร้านไปกินข้าวกันที่เจี่ยท้งเฮงกันเขาก็บอกทางให้เราขี่มอไซด์ไปสมทบได้ด้วยดี (ไม่อธิบายทางละนะ เพราะมั่วมากจำไม่ได้แล้ว) ไปเนียนกินข้าวกับเขา ดีๆ ชอบ เพราะไม่ได้เจอเขาพร้อมหน้ากันมาหลายปีแล้ว

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วจะไปดูรอบรถกลับบ้านพรุ่งนี้ที่อาเขตเสียหน่อย พยายามอีกรอบ คราวนี้เลี้ยวไปขึ้นสะพานเหล็กตามที่ได้แอบเล็งไว้ เสียดายไม่มีคนซ้อนท้ายมาทำมิวสิคนะ หลงทางอีกหลายตลบคราวนี้ เพราะ อาเขตอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ แถมดึกแล้วไม่ค่อยมีคนให้ถามแล้วด้วย ตามความเข้าใจคืออยู่ใกล้กับแยกใหญ่ๆชื่อเยกศาล หรือไงนี่ล่ะ ขี่รถผ่านโรงเรียนดาราวิทยาลัย โรงเรียนปรินซ์รอแยล โรงเรียนมงฟอร์ต โรงเรียนเรยีนา วนไปวนมาหลายรอบมาก จนสุดท้ายไปเจออาเขตจนได้ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เขาปิดหมดแล้ว ซึ่งแปลกมาก เพราะตามความเข้าใจของเราคือเชียงใหม่น่าจะเป็นเมืองต่อรถ น่าจะคึกคักทั้งคืนปรากฏว่าปิดเงียบเลย ทำให้ต้องกลับที่พัก จบวันอย่างงงๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้าไปจองตั๋วให้ได้เลย

(ปัจจุบัน คุณป้า ได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อกลางปี 2556 นี้เองครับ และผมไม่ได้ไปร่วมงานศพด้วย จึงถือว่าการกินข้าวในวันนั้นเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายครับ :( )

Tuesday, January 28, 2014

ไปเที่ยวเชียงใหม่ ธ.ค.2555 (วันที่ 4)

นับเป็นซีรี่ย์ของblogที่ใช้เวลาเขียนนานมาก ดองแล้วดองอีก จนข้ามปีแล้ว ได้มาแค่ 3 วัน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงเขียนต่อไปเพราะมันสนุกมาก และยังต้องเล่าเรื่องญี่ปุ่นอีก ยังไม่รู้จะดองไปอีกนานไหม อ้ะ มาวันที่ 3 ทำอะไรบ้าง

วันนี้ตื่นเช้ามาอากาศยังหนาวอยู่ เป็นเช้าแรกที่ต้องหาอาหารเช้ากินเอง ว่าจะออกไปหาโจ๊กกินเสียหน่อย ร้านขึ้นชื่อของเขาคือร้าน โจ๊กสมเพชร โจ๊ะศรีพิงค์ โจ๊กพยอม ร้านไหนดีหว่า แอบอ่านรีวิวในเน็ต แล้วพบว่า ร้านพยอมน่าจะดีสุด อยู่หลัง มช. งั้นไปกันเลย
พอไปถึง ร้านโจ๊กพยอมคนเยอะมาก ไม่มีโต๊ะนั่งเลย คนล้นออกมาทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน โจ๊กศรีพิงค์ที่อยู่ข้้างๆกันก็ได้ฟระ เอาเร็วไว้ก่อน วันนี้การเดินทางอาจจะอีกไกลนะ สั่งมาเลย รสชาติก็ถือว่ากลางๆ พอกินไปแก้หิวแก้ขัดได้ครับ กินเสร็จแล้ว วางแผนไปไหนดี อ้ะ ไหนๆ มาถึงเชียงใหม่แล้วจะไม่ไปดอยสุเทพก็ดุยังไงๆ อยู่นะ อ้ะ จัดเลยละกัน หันหัวรถขึ้นดอยทันที

การขี่มอไซด์ขึ้นเขาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหวาดเสียว และเราไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยมัธยมเห็นจะได้ ดังนั้นอุปกรณ์ป้องกันจึงเป็นส่ิงสำคัญ หมวกกันน็อค เสื้อแจ็กเก็ต กางเกงยีนส์ ป้องกันไว้ก่อนกรณีหากรถล้ม ทางขึ้นดอยสุเทพนั้นโดยรวมก็ถือว่าขับขี่ไม่ยากนัก เพราะถนนค่อนข้างกว่าง ไป2เลนกลับ2เลน บางช่วงขยายใหญ่เนื่องจากเป็นทางโค้งและมีจุดชมวิวเป็นระยะๆ การขับขี่ใช้เกียร์ 1-2 ตลอด และดูมาตรวัดน้ำมันตลอดเช่นกัน เพราะขึ้นเขาก็ยังไม่รู้ว่ามีปั้มน้ำมันไหม และน้ำมันครึ่งถังที่มีนี้จะหมดก่อนหรือเปล่า ขึ้นมาได้นิดหน่อยก็แวะพักที่น้ำตกห้วยแก้ว ซึ่งเป็นชะง่อนผา เรียกว่า ผาเงิบ ก็แปลกดีครับ เพราะคำว่า "เงิบ" ในภาษาวัยรุ่นปัจจุบันมักจะใช้ในเวลาที่ ปล่อยมุกแล้วไม่ขำ หรือเจอเหตุการณ์ที่ทำให้อึ้งเงียบไปเลย จะใช้คำว่า "เงิบ" ครับ (ภาพนี้โพสต์ลงใน facebook และ twitter ได้รับการ Like และ RT หลายครั้งอยู่นะ)
ขี่มอไซด์ต่อไปเรื่อยๆ อากาศเย็นๆ สบายๆ จนบางช่วงถึงกับรู้สึกเคลิ้มๆ ต้องเรียกสติกลับมาบ่อยๆ ด้วยการร้องเพลงบ้าง ขยับเนื้อตัวบ้าง จนบางทีก็เกือบเผลอสติหลุดลอยเลี้ยวแหกโค้งก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโค้งสุดท้ายก่อนถึงดอยสุเทพ ด้วยความที่ขี่มอไซด์แบบเพลินๆ มาเป็นทางไกล โค้งสุดท้ายก่อนถึงพระธาตุเป็นโค้งหักศอกที่ชันมากและลืมเปลี่ยนเกียร์และลดความเร็ว ทำให้รถล้อฟรีอยู่แว้บนึง ใจหายเลย นึกว่าจะล้มเสียแล้วนะครับ เพราะรถในบริเวณนั้นก็เยอะด้วย รถยนต์ที่ตามมาเห็นจะเบรคไม่ทันถ้าเราล้มลงคงได้เหยียบเราเละแน่ๆ อันตราย นะครับ ต้องขอเตือนไว้ตรงนี้เลย อย่าขี่เพลิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโค้งสุดท้ายนะครับ

ถึงแล้วก็อย่ารอช้า ขึ้นไปไหว้พระธาตุกันดีกว่า ฮึบๆ (ด้วยความที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เดินขึ้นบันไดแค่นี้ถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก)
ในที่สุดก็มาถึงเสียที เราขึ้นมาในวันที่ไม่ค่อยมีแดด แต่ว่ามุมที่จะถ่ายพระธาตุและติดเราด้วยหายากมาก ด้านบนพระธาตุมีช่างภาพรับจ้างที่คอยจะถ่ายภาพให้เราหลายคน แต่เราก็ปฏิเสธไปเพราะชอบแนว selfie ถ่ายตัวเองมากกว่า เลยได้รูปที่ดีที่สุดมาดังนี้
เอานะ ก็พอหอมปากหอมคอ 
เราไหว้พระธาตุแบบพอเป็นพิธีมากๆ ไหว้มือเปล่า บางคนเขาซื้อดอกไม้ธูปเทียน ทองคำเปลว เราไม่ได้ซื้อเลย ไหว้ อธิษฐาน ขอบคุณที่เมื่อกี้ตอนจะขึ้นมาไม่เกิดอุบัติเหตุ และ ขอให้การเดินทางมาเชียงใหม่ในครั้งนี้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง

ความทรงจำในวัยเด็กเกี่ยวกับดอยสุเทพนั้น คือ หน้าวัดจะมีการขายวอฟเฟิ้ล ราดน้ำผึ้ง อร่อยมากๆ และ วอฟเฟิ้ลที่่มีไส้กรอกเสียบไม้อยู่ตรงกลาง เดินวนหาหาไม่เจอเสียแล้ว มีแต่ชาเขียวบ้าง ซาลาเปาบ้าง กาแฟสดบ้าง มันก็คงเปลี่ยนไปตามยุคสมัยนะ โจ๊กที่กินเมื่อกี้เริ่มย่อยหมดแล้ว เลยต้องหาออะไรเติมหน่อย ไปจบลงที่ไส้กรอกอีสานไส้วุ้นเส้น ดุ้นใหญ่มาก กินไปร้อนไปจนหมด โฮ่ๆ

ออกเดินทางต่อไปยัง พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ กันครับ