Friday, February 25, 2005

เปิดใจหนังสือรุ่น

สวัสดีครับ กรรมการบัณฑิตทุกท่าน

จดหมายฉบับนี้คงเป็นจดหมายฉบับท้ายๆ
แล้วนะครับที่ผมจะส่งมารบกวนทุกคน

ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2546
ที่ทราบว่าได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการบัณฑิตเป็นต้นมา
ผมไม่เคยตระหนักเลยว่าหน้าที่นั้นจะเปลี่ยนชีวิตผม
และกินเวลาในชีวิตผมไปมากขนาดนี้
นับจนถึงตอนนี้ก็เกือบสองปีแล้ว
หากใช้เวลาไปกับการเรียนปริญญาโท ก็คงจบกันได้แล้ว

ตอนแรกก็เหมือนเรารักกันดี ทำงานกันสนุกสนานดี
ตามคอนเซ็ปต์ หนึ่งเดียวที่เราคิดกันขึ้น แต่ไปๆ มาๆ
ก็ค่อยๆ ทะยอยแยกย้ายกันไปตามเรื่องตามราว
มันก็เป็นการยากที่จะตัดสินว่าสิ่งที่ทำนั้นเหมาะสม
หรือไม่ (ถูกต้องไม่ถูกต้องคงไม่ต้องคิดนะครับ)

กลายเป็นสุดท้ายเหลือกันอยู่ไม่กี่คน
หลายครั้งที่ผมขอความร่วมมือในการช่วยงานต่างๆ
สุดท้ายแล้วก็จบลงที่เหมากันกันเองไม่กี่คน คือ น้อยกว่า
ห้าคนด้วยซ้ำ บางที คนเดียวด้วยซ้ำ ผมแอบคิดหลายครั้งว่า
ผมผิดหรือเปล่าที่เอาโน่นเอานี่มาทำซะหมดแล้วก็ไม่รู้จักแบ่งงานให้คนอื่นทำซะบ้างเลย
อันนี้ไม่รู้นะ ถ้าผมทำไม่ถูกไม่ควรก็อยากให้เพื่อนๆ
บอกด้วยอย่าปล่อยให้ผมโง่ต่อไปเลยครับ

หนังสืออนุสรณ์บัณฑิตกลายเป็นหัวข้อปัญหาใหญ่หลังจากงานรับปริญญาเป็นต้นมา
เราเริ่มคัดเลือกและเริ่มทำกันในเดือน มกราคม 2547
ในขณะที่เหลือจำนวนคนทำงานน้อยลงเรื่อยๆ
แค่ขั้นตอนการคัดเลือกก็เกิดผิดใจกันหายหน้าหายตาไปบ้างซะแล้ว

ขั้นตอนการส่งเอกสาร ตรวจงาน ก็ดำเนินการมาตลอด
จากที่โรงพิมพ์เคยแจ้งไว้ในสัญญาที่ทำว่าจะเสร็จในเดือนเมษายน
ก็ล่วงเลยมาเรื่อย ๆ เหมือนสัญญาไม่มีความหมายอะไร
คนทำก็ท้อ คนจ้างก็ท้อ
เพราะมันห่อเหี่ยวเหลือเกินหันไปทางไหนก็มองไม่เห็นใครเลย
ทุกอย่างตัดสินใจกันเองไม่กี่คน

จนท้ายสุดหนังสือทั้งล็อต ก็เสร็จออกมาในเดือน พฤศจิกายน
2547 จำนวนหนึ่งพันเล่ม
ในขณะที่มีคนสั่งจองและจ่ายเงินแล้ว 420 เล่ม
แล้วก็ต้องแจกตามห้องสมุดและจำหน่ายเพิ่มจนหมดจำนวนที่จัดพิมพ์มา
ดีหน่อยที่ช่วงนี้มีเพื่อนมาช่วยหลายคน
ช่วยลำเลียงหนังสือ ช่วยจัดหาที่เก็บ
ช่วยประชาสัมพันธ์เพื่อจัดจำหน่ายเพิ่มเติม เป็นต้น

กำหนดการที่ว่าจะให้ซื้อกันจนถึงสิ้นเดือน มกราคม 2548
ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ผมก็แจ้งจำนวนหนังสือที่เหลืออยู่ให้ทุกท่านทราบเป็นระยะๆ
จนสิ้นเดือน ยอดก็ไม่กระเตื้องมากขึ้นแต่อย่างใด หนำซ้ำ
ด้วยความไม่สะดวกในการจัดเก็บที่มหาวิทยาลัย
ผมก็ได้ลำเลียงมาเก็บไว้ที่บ้านผมเอง และไว้ที่คอนโด
ของภาณิณด้วยส่วนหนึ่ง
และในท้ายที่สุดก็ย้ายมาไว้ที่บ้านผมที่นครสวรรค์ทั้งหมด
โดยเหลืออยู่ที่มหาวิทยาลัย สามสิบเล่ม
ซึ่งให้ตั้มเป็นคนดูแล

มาบัดนี้วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548
หลังจากผมได้ใช้การโทรถามว่าคนที่แจ้งว่าจองยังจะซื้ออยู่หรือไม่
และสามารถระบายหนังสือไปได้มากกว่า สองร้อยเล่ม แล้ว
ก็ยังเหลือหนังสืออยู่ที่ผมประมาณ 100 เล่ม

มาถึงสิ่งที่ผมจะเรียนถามเพื่อนๆ จริงๆ แล้วนะครับ คือ
ตามสิทธิแล้วกรรมการบัณฑิตทุกท่าน
ไม่ว่าจะช่วยงานหรือไม่ช่วยอะไรเลยในเรื่องของหนังสืออนุสรณ์ก็มีสิทธิที่จะได้รับหนังสืออนุสรณ์บัณฑิต
ฟรี หนึ่งเล่ม มาบัดนี้ ผมจึงอยากให้ท่านทั้งหลาย
ได้ส่งชื่อที่อยู่ปัจจุบัน มาให้ผม
เพื่อที่ผมจะได้จัดส่งหนังสือที่ท่านควรจะได้ไปให้โดยเร็ว
และส่วนที่เหลือผมจะได้จัดการจำหน่ายต่อเพื่อให้หมดและไม่เป็นภาระต่อใคร
ไม่ว่าบ้านผม ตัวผม มหาวิทยาลัย
หรือคณะกรรมการบัณฑิตทุกคน

ผมใคร่ขอความกรุณาอย่างมาก
ให้ท่านส่งชื่อและที่อยู่มาโดยด่วน ทางนี้ หรือ โทรมา
066696296 ภายในวันสองวันนี้ หากท่านทำการชำระเงินแล้ว
ขอให้ท่านแจ้งเลขที่บัญชี
หรือที่อยู่ที่จะให้ส่งเงินคืนชดเชยไปให้ มาให้ผม
เพื่อที่จะได้ดำเนินการต่อ
เพื่อไม่ให้เป็นความลำบากใจของใครต่อไป หากเพื่อนๆ
มีอะไรสงสัย ไม่พอใจ สามารถคุยกับผมได้โดยตรง
ผมไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้า
ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่างเสมอไป
ที่ผมต้องตัดสินใจอยู่ทุกวันนี้
ก็เพราะไม่มีทางอื่นให้เลือกและช่วยตัดสินใจเลย
หากภายในวันเสาร์
เวลาห้าทุ่มไปแล้วไม่มีใครติดต่อมาเพื่อแจ้งเรื่องหนังสือที่จะส่ง
ผมจะขอจำหน่ายต่อให้กับบัณฑิตที่มีความต้องการต่อไป

อนึ่ง กรรมการบัณฑิตที่มีสิทธิได้รับหนังสือฟรีนั้น
คือบัณฑิตกลุ่มเดียวกับที่ได้รับโล่ห์ในวันขอบคุณสปอนเซอร์เท่านั้น

สุดท้ายนี้ เกือบสองปีที่ผ่านมาทำให้ผมเรียนรู้อะไรหลายๆ
อย่างมากขึ้น
แต่ไม่รู้ว่าเป็นประโยชน์หรือโทษกับชีวิตกันแน่
แต่ผมมั่นใจเลยว่า หากต้องทำงานกลุ่มครั้งต่อไป
ผมจะต้องคิดไตร่ตรองให้มากกว่านี้แน่นอน

ขอแสดงความนับถือน้ำใจของพวกนายทุกคน

อธิศ หวังซื่อกุล
กรรมการบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตัวแทนสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติ สิรินธร

ป.ล.ทุกครั้งที่ลงท้ายจดหมาย ผมจะลงเป็นตัวแทนคณะเสมอ
เพราะผมเป็นเท่านั้นจริงๆ

รับหนังสือรุ่นเพิ่มด้วยมั้ยครับ

บทสนทนายอดฮิตประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548

สวัสดีครับ ผมขอเรียนสายคุณ.....ครับ

ผมโทรจากคณะกรรมการบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ

มีเรื่องอยากจะเรียนถามเรื่องเกี่ยวกับหนังสืออนุสรณ์บัณฑิตครับ

คือตอนนี้หนังสือที่คุณ....สั่งจองเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ

ผมเลยโทรมาถามว่าจะให้จัดส่งอย่างไรครับ

ผมมีที่อยู่ที่คุณ....เคยให้ไว้ เดี๋ยวผมอ่านให้ฟังนะครับ

ถ้าสะดวกผมจะขออนุญาตส่งไปเป็น พัสดุเก็บเงินปลายทาง โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ ห้าร้อยสี่สิบบาทนะครับ

เดี๋ยวผมจะทวนชื่อกับที่อยู่อีกครั้งนะครับ

ผมจะดำเนินการให้ในวันพรุ่งนี้ และพัสดุคงจะไปถึงในอีกไม่เกินหนึ่งสัปดาห์นะครับ รอรับด้วยครับ

ขอบคุณมากนะครับ สวัสดีครับ

Tuesday, February 22, 2005

อวสานธรรมศาสตร์

อ่านแล้วเห็นด้วยนะ
คือเค้าไม่ได้ว่าเราโดยไม่มีหลักฐานนะ
เค้าออกจะดูเข้าใจเหตุการณ์มากอยู่นะ
มีคนในกระทู้คนนึงไปหาว่าเค้ามาว่าสถาบัน
ไอ้นี่คงจะบ้าสถาบันไปหน่อยมั้ง

Sunday, February 20, 2005

ขอแสดงความยินดีกับน้องๆ ที่ผมเคารพด้วย

เอามาเฉพาะส่วนสำคัญ
...
ยื่นใบลาออกวันนี้อ่ะครับ คุยกะทางคณะแล้ว เค้าบอกว่าต้องยื่นใบลาออกก่อน หนึ่งเดือนครับ อ.สวัวสดิ์เค้าไม่เซ็นให้ เค้าบอกให้ไปทำมาให้ถูกวิธี ไม่งั้นประวัติคุณที่นี่จะไม่ดีแน่ๆ เงินเดือนสุดท้ายก็ไม่ได้นะ

กูก็ตอบไปว่า งั้นฝาก อ.เดินเรื่องต่อให้ที่ละกันนะครับ

คือที่ผมไม่ยอมทนเรียนต่อเนี่ย มันมีหลายๆ สาเหตุนะครับ
หนึ่ง ผมทนไม่ได้กะคำตอบที่ผมได้จาก อ.สุภชาติ (ขอโทษที่เขียนชื่อผิดครับ) เค้าตอบคำถามของ ปห เด็กชีตติ้ง แล้วหลังจากนั้นรถผมโดนขูดได้อย่างเพราะพริ้งว่า ถ้าทนไม่ได้ก็ออก ก็มีเท่านั้น
สอง จากข้อหนึ่งมันทำให้ผมคิดได้หลายๆอย่างว่า สิ่งใดสำคัญจะชีวิตกันแน่ ผมยังไม่ได้ดูแลทางบ้านเรย ผมยังใช้เงินเค้าอยู่ ยังขอเค้ากินอยู่ ซึ่งวัยขนาดนี้แล้ว ยี่หก มันไม่สมควร ทำให้ผมได้มองหางาน
สาม. ผมชอบที่จะสอนนะ ถึงมาคนเดียวก็สอน อยู่ที่ไหน มี ปห ก็ถามได้ คนที่เคยติวกะผม หรือ เรียนแล๊บกะผมน่าจะรู้ดี ยกเว้นหลังจากที่ผมได้ฟังคำตอบ ในข้อหนึ่ง ผมหมดใจไปเยอะเรย พูดง่ายๆว่า เช็คชื่อก็ไม่ทำ จับคนสูบบุหรี่ก็ไม่ทำ ติงก็ไม่ได้ใส่ใจไรมาก ถ้าน้องคนไหนอยากถามผมก็ตอบ แต่ไม่ได้ ขวนขวายให้เค้าตอบ แต่ ย้อนกลับไปข้อหนึ่ง กุหมดใจวะ ความคิดที่กูจะไปเป็น อ.บ้านนอก สลายเรย
แต่ไม่เป็นไร สอนเด็กไม่ได้ ไปช่วยผู้ใหญ่ให้มีความรู้ช่วงเสารอาทิตย์ ตามแถบๆ ตจว ก้ได้ เพราะเด้กที่ดีก็มาจากผู้ใหญ่ที่ดี นะแหละ

อย่าเอาความคิดของคนโสดมาตัดสินใจ (เอามาจากในเว๊บนี้แหละ) ผมว่าเรื่องนี้มันขึ้นกะไฟนะครับ ต้องเป็นอย่าง จีทีโอสิครับ

ครูมี นร หลายคน โว๊ยวายใหญ่เรย มันเหนื่อยทำงานหนัก แต่ นร มี อ. คนนั้นคนเดียวนะครับ

สมัยก่อนผมก็นั่งสูบบุหรี่ หน้ายูเอฟเอ็ม แต่พอมี อ. มา ก็รีบเอาหลบ เด๋วนี้ ไม่
สมัยก่อน อ.เดินผ่าน เราก็ทักกันคุยกันได้ เด๋วนี้ ไม่(อาจไม่ใช่กะ อ. ทุกคน)
สมัยก่อน คนสูบบุหรี่ จะโดนไล่ไปสูบไกล หรือไปนั่งรวมกับพวกคนที่สูบด้วยกัน เด๋วนี้ เดินสูบกันให้ว้อน
สมัยก่อน คนเข้าห้องเรียน เพราะอยากเรียน ตอนนี้เข้าเพราะเช็คชื่อ

ตอนนี้อ่ะ มันไม่ใช่ที่นี่ที่เดียวนะ มันเป็นกันทุกที่แหละ เราจะแก้ยังไงดีอ่ะ

โปรดักของคณะ (มหาลัย)คืออะไร
ตอบ นศ

เราต้องการให้ นศ เราอยู่ ตำแหน่งไหนในสังคมอ่ะ ในโบรชัวเขียนซะโก้ leadership in Education เราก็แค่ไปก๊อบระบบเค้ามาปรับปรุงอ่ะ ไม่ได้ต่างจะ ระบบอื่น ใน ประเทศเรย มันนำหน้าเค้าไงวะ

ถ้าเป็นกู กูจะเปิดคอร์สสอน วิชาใส่หน้ากาก
วิชาโกง วิชาร้อยลิ้น วิชาเอาตัวรอด จบไปมึงได้ใช้มากกว่า วิชาที่เรียนซะอีก (คิดเล่นๆ)

วิชาเรียนก็เหมือนเดิมเนี่ยแหละ แต่ต้องเพิ่มสังคมเข้ามาด้วย

ผมต้องขอกราบขอโทษ อ.วิญญูมา ณ ที่นี่ด้วย ที่ผมเอาความสะใจของตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมทราบว่าสิ่งที่ผมทำมันมีผลยังไง ผมทราบว่าผมควรยื่นใบลาออกตั้งแต่ เดือนที่แล้ว แต่ผมตัดสินใจว่าจะไม่ทำ ผมจะประชดคณะแบบนี้ ซึ่งผมรู้ว่าไม่ดี ผมต้องขอโทษ อ. มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

เคยมีไหน ที่ อ. จะมารู้ว่า นศ คนไหนเล่นเกมส์ไรเก่ง รู้ไหมว่าคนไหนขับรถแต่ง รู้ไหมว่าใครดูดปุ้น นศ ไม่ได้ต้องการมาเรียนอย่างเดียว เค้าต้องการสังคมที่ดีด้วย สังคมเพื่อนที่ดี สังคม อ. ที่ดี เอาใจใส่กับเด็กมากขึ้น พวกคุณๆ ตัดสินใจ มาเป็น อ. นะครับ ต้องเป็นทั้งพ่อแม่ พี่น้องและเพื่อน กับ นศ คุณต้องรู้เรื่องพวกเค้า

เด็กคณะเราตายจากอุบัติเหตรถยนต์ทุกปี ทางคณะได้แต่ส่งพวงรีด จัดงานหนึ่งวัน มีไหมหลังจากหมดเวลาสอน หรือก่อนที่จะสอน เค้าจะพูดเรื่องพวกนี้ เราควรต้องดูแลตัวเองยังไง กินเหล้านะได้แต่ต้องระวัง เราต้องพูดเรื่อยๆๆ การแก้ ปห เรื่องคน นะ มันไม่มีทางแก้ได้ ภายในสิบปีด้วยซ้ำ แต่ถ้าเราได้แต่คิดเนี่ย มันก็จะไม่มีทางลงไปเห็นปห เรย เพราะมัวแต่นั่งคิดๆๆๆๆๆ

เค้าต้องลงมาคุยกะเด็กก่อนไม่งั้นเด็กคนไหนจะกล้าเอา ปห ไปคุย (เจอกะตัว)

ปห ของกูมันอ่ะมี ได้งานก็จิง แต่ได้ประวัติที่นี่ไม่ดี

ผมรักเอสไอนะคับ แต่ทำไม ระบบ ของมันทำกะผมอย่างนี้ แล้วแทนที่ คนดูแลระบบ จะพูดกะผมดีๆๆ กับบอกว่า ทนไม่ได้ก็ออกไป

ผมออกครับ ออกแบบประชดๆ อย่างนี้แหละ

ขอโทษ อ. หลายๆๆ ท่าน ที่ผมทำให้หงุดหงิด ขอโทษ พี่พาฝ่ายบุคคนที่ผมไปมีปากเสียง

ขอโทษน้องๆที่พี่เคยทำตัวเลวๆ

ขอโทษ เพื่อนๆๆ ไปงั้นๆ อ่ะ อิอิ


ปล. ได้งานที่ไหนไม่บอก ได้ทำคอนแทก หนึ่งปี ขึ้นอยู่กะความสามารถว่าหลังจากนั้นจะได้เป็นพนักงานประจำไหม

ปล อีกครั้ง ปมอยู่ที่คณะ ได้ หมื่นนึง วันๆไม่ต้องทำเชี่ยไรก็ได้ นั่งเล่นเน็ตไปวันๆๆ เด๋วติว คุมสอบ เช็คชื่อ งานง่ายๆ สบายกว่าออกไปทำงานซะอีก ทำไป สี่ห้าปี ก็ได้ ป.เอก โก้อีก

แต่กูเลือกที่จะไม่เอาวะ เพราะแม่งไม่ได้เหี้ยไรที่จะประสาทวิชาให้กูมีชีวิตใน สังคมได้เรยวะ ต้องทนกะระบบที่แทบจะล้มเหลว

ไอ้ระบบการศึกษาไทยเนี่ย มีมากี่ปีวะ มันก็เหมือนเดิม โอเพนไปเรยดิ

วิชาโครสบุคใครจะเอาโพย เอา เท๊ก เอาไรเข้าก็ได้ ข้อห้ามเดียว ให้คุณรู้จักเคารพตัวเอง และสังคม ถ้ามันไม่เคารพ การโดนประนามจากเพื่อนๆ ก็เพียงพอแล้ว ขอแค่นี้แหละ

การเคารพตัวเองหลังจากเคารพคนอื่นอ่ะ (โดนมาเอง) แค่นี้ นะ ไทยก็ไม่ต้องมี กดหมายแล้ววะ

โลกนี้ก็จะสงบสุข มันจะไม่มี คำว่าประเทศแล้ววะ

ปล. ถึงยาและเพื่อนๆๆ กูลาออกจากการเรียนเอกวะ คงไม่เรียนแล้วเอกวิดวะ ปีหน้า หลังเซต
งานเรียบร้อยกูคงจะเรียนโทบริหารวะ ถ้าว่างอีก คงเอกบริหารอ่ะ

กูไม่เคยเห็นนายกมาจากวิดวะว่ะ ไม่ได้หมายความว่ากูจะเป็นนะ

หมายความว่า คนบริหารเนี่ย ก็ควรจบบริหารวะ เพราะแนวคิดมันไม่เหมือนกัน ความ อะลุ้มอะหล่วยมันไม่เท่ากัน วิดวะอ่ะทำได้ แต่คงไม่ได้ดีเท่าคนที่เค้าจบมาตรงๆอ่ะ
...
จบ

พี่น้ำหวานพูดได้ตรงใจหลายอย่างที่คนอย่างเราๆ ท่านๆ รู้สึก หรืออาจจะไม่รู้สึก แต่ก็ไม่เคยได้พูดกันจริงๆ ซักที ผมตามอ่านกระทู้ที่เกี่ยวกับพี่แกหลายอันแล้ว ก็คิดว่าพี่แกสงสัยคงเป็นคนแบบเฮี้ยบๆ เช็คชื่ออุตลุต แน่ๆ แต่อ่านบทความนี้แล้ว ชักอยากรู้จักขึ้นมาแล้วสิ ไม่รู้ว่าอาจารย์ที่เข้ามาอ่านอันนี้จะคิดอะไรได้บ้างหรือเปล่าน้อ

มีเรื่องเยอะจัง

แต่ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรก่อนดี

วาเลนไทน์

วางแผนไปเที่ยว

หนังสือรุ่น

สนุกๆ ทั้งนั้น

พระเจ้าช่วย บอกผมหน่อยเหอะ เอาเรื่องไหนก่อนดี