Tuesday, September 09, 2014

หนังสือที่ประทับใจ

นานๆทีจะเขียนอะไรยาวๆ ได้สักทีขอเซฟไว้ใน บล้อกไว้เชยชมหน่อยนะครับ

ตามที่ Chitpong Few Wuttanan ได้แทกมาถามว่าที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้อ่านหนังสืออะไรมา ที่คิดแล้วนึกออกเลยว่าเออดี อะไรงี้ก็เลยลิสต์ให้ดังนี้
1.หุบเขากินคน มาลา คำจันทร์
..
เรื่องของการผจญภัยข้ามภพของลูกเสือกลุ่มหนึ่งที่ไปเข้าค่ายแล้วหลงป่าข้ามเวลา ย้อนกลับไปยังสมัยขอมเรืองอำนาจ ตัวละครได้แก่ วิชชุ บดินทร์ บุญชู วิทยา และ อัชฌา โดยทุกคนจะมีพลังมากขึ้นแตกต่างกัน เช่น ฉลาดขึ้น ว่องไวขึ้น แข็งแรงขึ้น และบางคนมีคาถาอาคมมากขึ้นโดยทั้งหมดจะต้องช่วยกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ให้สามารถครองบ้านเมืองต่อไปได้ เล่มนี้อ่านครั้งแรกตอนไม่สบายเป็นไข้เลือดออกตอน ป.4 พอเขาเอาเรื่องมาทำละคร ความฝันวัยเด็กก็ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
..
2.นิกกับพิม วณ.ประมวลมารค
..
เรื่องเล่าระหว่างชายหญิงผู้เลี้ยงหมาที่ใช้วิธีสื่อสารกันโดยให้หมานิก และหมาพิม เป็นตัวละคร เขียนจดหมายถึงกัน นิกอยู่เมืองไทย พิมอยู่เมืองนอก เข้าใจว่าเป็นอเมริกา เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน เล่าเรื่องต่างๆ จนมาจบแบบ แฮปปี้เอ็นดิ้ง ได้ เล่มนี้อ่านตอนม.ต้น ได้มั้ง เห็นพี่สาวอ่านก็อ่านบ้าง สนุกจริงๆ โดยเฉพาะตอนท้ายๆที่ไปเจอ คุณนายของตัวละครหญิงที่เป็นคนประหยัดแบบโรคจิตๆ ฮามาก
..
3.อุดมการณ์บนเส้นขนาน อรุณมนัย
..
เป็นหนังสือนนอกเวลาตอน ม.ปลาย ไม่รู้ว่า 4 หรือ 5 แต่แน่นอนมาก ว่าเป็นหนังสือที่ออกแบบมาเพื่อเข้ากับวัยขบถของช่วงนั้นพอดี คืออ่านก่อนนั้น ก็ไม่ดี อ่านหลังนั้นก็ไม่ได้ เนื้อหาหนังสือเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาสาสมัครชาวต่างชาติที่มาอยู่ในประเทศไทยแล้วเห็นความผิดปกติต่างๆในไทย วิธีการคิด วัฒนธรรม ที่ขัดหูขัดตา แล้วตั้งข้อสังเกต แล้วคนไทยก็เห็นด้วยแต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เขาเสนออย่างไร จำได้เลยคือเรื่องการสร้างทางเชื่อมในระหว่างตึกต่างๆ ในโรงพยาบาล ที่จะทำให้หมอและคนไข้ไม่ต้องเดินตากฝน และประเด็นนี้นี่เองที่ทำให้นำมาใช้ในชีวิตจริงและเกิดผลบางอย่างกับโรงเรียนที่เรียนในตอนมัธยม
..
4.สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน วินทร์ เลียววารินทร์
..
เล่มนี้อ่านตอนไปภูเก็ต กับพีซ มาร์ค แบงค์ เจตน์ เพื่อน SIIT น่าจะตอนปี1ขึ้น 2 ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงเอาไปด้วย หรือเอามาจากไหน อาจจะจากงานหนังสือลดราคาสักแห่ง อ่านตลอดเวลา ตั้งแต่ ไปเกาะพีพี ไปแหลมพรหมเทพ ไปกินโอ๊ะเอ๋ว ไปกินโลบะ ไป4-5วันอ่านจนจบเลย คนมักจะประทับใจเนื้อหาในส่วนที่ผู้เขียนใช้คำนามในการเขียนเรื่องราวแล้วแบ่งด้วยเครื่องหมายทับ ว่าเป็นการนำเสนอที่เจ๋งฝุดๆ เบย แต่เรากลับชอบอีกเรื่อง คือเรื่องที่โรงแรมม่านรูดที่มีการติดกล้องแอบถ่ายพฤติกรรมต่างๆ ของคนที่มาใช้บริการ แล้วอัดเทปไว้ดู จำได้ด้วยว่า อ่านไปแล้วเก็บไปฝัน ฝันว่าสอบวิชาฟิสิกส์ได้ F+ ยังตื่นมาถามเพื่อนเลยว่า เฮ้ย มันมีเกรดนี้ด้วยหรือเปล่า 555
..
5.หลังอาน บินหลา สันกาลาคีรี
..
เล่มนี้อ่านตอนปี 4 แล้ว ถ้าจำไม่ผิด ฟ้า วิภาวดี เป็นคนเอามาให้ยืม อยู่ในยุคเดียวกันกับ ชุดประดานำกับผีเสื้อ ที่กระพริบตาแต่งหนังสือได้ทั้งเล่ม
และ วันอังคารกับครูมอลลี่ ครูที่จะตายแต่มาสอนหนังสือทุกวันอังคาร อะไรซักอย่าง แต่ จำได้ไม่ชัดเจนเท่าไร เอาเป็นว่า หลังอาน เป็นเรื่องของคุณบินหลา
ที่หาญกล้าจะขี่จักรยานจากเชียงใหม่มากรุงเทพ อ่านแล้วทำให้เกิดความฮึกเหิมขึ้นในจิตใจที่จะทำอะไรบ้าๆบอๆ ทำให้ปี4 ปีนั้น นั่งรถไฟไปจังหวัดตรัง กับแบงค์ธนา หลายวัน และนั่งเครื่องบินไปเที่ยวหลวงพระบางกับจู๋ วรวฺธ สัปดาห์นึง บ้าชิบเป๋ง
..
6.พันธุ์หมาบ้า ชาติ กอบจิตติ
..
โห.. เรื่องนี้แบบว่าเล่าไม่ถูกเลย จำได้ว่าหยาบมาก แรงมาก เผยด้านมืดของวัยรุ่นอย่างมากๆ เลย ทั้งยาเสพติด เซ็กส์ ตีรันฟันแทง ปัญหาครอบครัว ครบรสเลย จำตัวละครได้ตัวเดียวคือ อ๊อตโต้ และอีกคนที่เอามีดแทงพ่อ หรือไงนี่ล่ะ เป็นหนังสือที่แนะนำให้อ่านตอนเรียนป.ตรี เพราะถ้าอ่านตอน มัธยม จะคิดเอาเยี่ยงอย่าง อ่านตอนเรียนจบ ป.ตรี มาแล้วก็ไม่อินแล้วครับ อ่านไว้จะได้รู้ว่าชีวิตมันลงต่ำสุดได้ยังไง แล้วกลับขึ้นมาได้ไหม
..
7.ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน วินทร์ เลียววารินทร์
..
เล่มนี้จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจอ่านพูดเลย พ่อซื้อมาวางไว้บนโต๊ะทำงานแล้วก็ไม่เห็นอ่านเสียที ก็เลยรำคาญเอามาอ่านซะเลย ปรากฏว่า วางไม่ลงทีเดียว
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนสองคนที่ใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงปฏิวัติรัฐประหารต่างๆ
เข้าป่าคอมมิวนิสต์ สารพัด แต่ทั้งสองคนก็รักกันบ้างเกลียดกันบ้างตามยุคสมัย แต่ทุกช่วงที่จบยุค นั้น จะมีการหักมุมอย่างรุนแรงทุกครั้ง เรื่องจบอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน เอาความเจ๋งมาแบ่งเป็นตอนๆ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เอามารวมไว้ในนิยายเรื่องเดียวเลย
..
8.The The Davinci Code Dan Brown
..
อันนี้ก็ไม่ต้องอธิบายมาก รู้ๆกันอยู่ว่าสนุกสนานขนาดไหนเนอะ
..
9.ชีค ประภัสสร เสวิกุล
..
เล่มนี้ที่กล่าวถึงเพราะเป็นนิยายเรื่องยาวเรื่องล่าสุดที่ได้อ่านจนจบ ระหว่างทริปการเดินทางไปขอนแก่นด้วยรถทัวร์ ที่นานมาก เริ่มขึ้นรถ11น.ก็อ่านเลย
จน 18.00 น. แดดหมด ก็หยุดอ่าน เข้าโรงแรมก็อ่านอีกหน่อย ขากลับก็อ่านอีก จนมาถึงนครสวรรค์โดยสวัสดิภาพ เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในเขตทะเลทรายแถวอาหรับซักแห่ง เป็นเรื่องชีวิตของเด็กหนุ่มลูกหัวหน้าเผ่าเบดูอินที่พ่อถูกฆ่าตายต่อหน้า ทั้งๆที่พ่อเขาเป็นคนดีที่พยายามรวบรวมเผ่าต่างๆ เข้าด้วยกันแต่มาขัดผลประโยชน์กับชาวยุโรป ที่จะเข้ามาทำสัมปทานน้ำมัน เด็กหนุ่มโตขึ้นพร้อมกับความแข็งแกร่ง การฝึกฝนทางการรบ การใช้ชีวิตต่างๆ คุณประภัสสร เล่าเรื่องโดดไปโดดมาหลายฝ่าย ต้องจำชื่อให้แม่น จะได้รู้ว่าตอนนี้อยู่ด้านไหนแล้ว เรื่องหักมุมมีมาตลอด แต่ไม่แรงเท่า คุณวินทร์ ส่วนตอนจบห้วนไป ถ้าไม่นับตอนจบ ช่วง 90%ของหนังสือก็สนุกมากทีเดียว เม็ดทรายในทะเลทรายทุกเม็ดก็เหมือนๆกัน อยู่ที่ว่าเม็ดไหนจะถูกนำไปเจียรนัยเป็นแก้วที่มีคุณค่า อืม..
..
10.Wish us Luck ขอให้เราโชคดี แวววรรณ-วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์
..
เล่มสุดท้าย เป็นเล่มล่าสุดที่อ่าน จริงๆ ได้ยินชื่อมานานแล้วแต่ยังไม่ได้อ่านเสียที พอดีว่าไปเปิดหน้าบัญชีขายหนังสือกับ บริษัทบันลือบุ๊คส์จำกัด
เขาส่งหนังสือมาฝากขายก็เลยหยิบมาQC หน่อย อ่านไปวางไม่ลงทีเดียว จำได้ว่าคืนนั้นอ่านต้งแต่ 22.00-04.00 วันรุ่งขึ้นเลย สนุก ลุ้น จิกกัดเจ็บๆ พอประมาณ เรื่องมีอยู่ว่า สองสาวฝาแฝด แวววรรณ วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์ จะเดินทางกลับประเทศไทย จาก อังกฤษ ด้วยวิธีการนั่งรถไฟ ตลอดทาง ตั้งแต่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอะไรอีกประเทศนึง แล้วเข้ารัสเซีย มองโกเลีย จีน เวียดนาม ลาว ไทย ซึ่งอ่านแล้วรู้สึกว่าเจ๋งดีแฮะ ใจกล้ามาก ซึ่งในตอนที่ได้ยินว่าเธอสองคนทำเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อปีก่อน ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการไปเที่ยวเกาหลี และ ข้ามต่อไปญี่ปุ่นด้วยวิธีการนั่งเรือเฟอร์รี่ (จากปูซาน ไป ชิโมโนเซกิ) ซึ่งไปนั่งก่อนเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเรือเซวอล นะครับ
โดยรวมหนังสือเรื่องนี้ก็สร้างแรงบันดาลใจได้ดี อ่านสนุก ภาพสวยครับ
..
เอ้า สาแก่ใจกันแล้วไหมครับท่านผู้อ่าน ถ้าใครคาดว่าผมจะเขียนว่าผมอ่านหนังสือประเภท ปรัชญา ธรรมะ หนังสือเท่ๆ หรือ อะไรเทือกๆนั้นก็ขออภัยที่อาจจะผิดหวังบ้าง อาจจะมีก็ได้ แต่ตอนนี้คิดออกเลย มีเท่านี้ ถ้าวันหลังคิดออกเดี๋ยวค่อยบอกนะครับ
ยังนึกไม่ออกว่าจะแท็กใครต่อดี ก็เว้นไว้ก่อนละกันนะครับ ขอบคุณครับ

Monday, September 08, 2014

ไปเชียงใหม่5-7กย.57

รีบเขียนเลยเดี๋ยวดองลืมอีก

ไปเชียงใหม่ประชุมร้านเครื่องเขียนครับ เอาสั้นๆ พอนะครับ ไม่ดราม่ามาก และไม่บรรยายยืดเยื้อ


  1. ไปด้วยรถทัวร์ของยี่ห้อ พรพิริยะทัวร์ ราคาVIP 449 อยู่ชั้นล่างของรถ2ชั้น นอนสบายแต่ไม่มีทีวีดูและอยู่หน้าห้องน้ำ แอร์พุ่งใส่หน้านอนลำบากมากต้องเปลี่ยนที่นอนไปมา ถ้าเลือกไม่vipด้านบน385บาท เก้าอี้เล็กกว่าแต่น่าจะดีหน่อยเพราะไม่ต้องทนห้องน้ำ ออก 23.00 น. ถึงเชียงใหม่ 6.30 น. เช้ามาก แวะกินข้าวร้านขวัญ2 สลกบาตร เอาคูปองไปแลกก๋วยเตี๋ยว บอกไว้ก่อนเลยคราวหน้าอย่ากินก๋วยเตี๋ยว ไม่อร่อยนะ เจอเอ็กซ์ YEC ลำพูน ที่เพิ่งอบรม SEED 1 กลับมากับ บ.ลิกไนท์ ทัวร์ ลืมถามว่ามันดียังไง วันหลังจะได้ใช้บริการบ้าง
  2. เช่ารถมอไซด์ที่ร้านแถวนั้น จำชื่อร้านไม่ได้ เลี้ยงหมาบีเกิ้ลไว้หลายตัว แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้บริการbikky เพราะมันยังไม่เปิด เขาคิด 200 บาท/วัน เช่า 2 วัน ก็ 400 ง่ายๆ ไม่มีมัดจำใดๆ เอาบัตรประชาชนไว้แล้วก็เอารถไปได้เลย แวะเติมน้ำมันให้เขา 100 นึง กะจะใช้เยอะแต่ที่ไหนได้แทบไม่ยุบเลย ถึงแม้ว่าวันกลับจะเอามาส่งก่อน 6.30 ก็ไม่ลดราคานะ เหมาเป็นวันๆ ก็ไม่ว่ากัน เช่ารถเวฟ เกียร์ธรรมดาเหมือนเดิม
  3. ออกไปหลงทางตามเคย หนาวและฝนตก ตำหนิตัวเองที่ไม่เอาแจ็กเก็ตอะไรมาเลย ข้ามสะพานนครพิงค์มาแล้วก็หลงทางอีก จำไม่ได้ว่าอะไรไปทางไหน วนๆ สักพัก แล้วดันเอาโน้ตบุ๊คมาด้วย โคตรจะไม่สะดวกเลย เป้สะพายใส่เสื้อผ้าแล้วมือหิ้วโน็ตบุ๊คทุลักทุเลมาก
  4. หาทางจนเจอคูเมืองวนซะรอบ สมเพชร ไปแจ่งหัวริน แล้วยูอีกทีหน้าศรีโตเกียวเชียงใหม่ราม เข้าห้วยแก้ว ฝนตกเพิ่มขึ้น ตายละ จะถึงโรงแรมไหมเนี่ย เป็นข้อคิดเลยนะ ว่าถ้าฝนตกนี่ การเช่ามอเตอร์ไซด์นี่เป็นวิบากกรรมมากๆ ถึงแยกคลองชลประทานก็เลี้ยวขวาไปเจอโรงแรมอยู่อี่กฝั่ง ต้องยูเทิร์นรถมา
  5. จอดแล้วขอเขาเช็คอินก่อนเวลา ปรากฏว่าห้องว่างเช็คอินได้ ดีมาก เพราะตัวเปียกอยากอาบน้ำนอนมาก ขึ้นห้อง ห้องสวยหรูดี มีปลั๊กไฟน้อยไปหน่อย อาบน้ำแล้วก็เปิดคอมทำบทความหอการค้าต่อจนลืมว่าจะนอนนี่หว่า แล้วก็หิวด้วย จะเอาคูปองอาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ไปกิน เขาก็บอกว่าไม่ได้มันระบุวันไปแล้ว ก็เลยลงมาออกไปข้างนอกก็ได้
  6. อาหารเช้าที่เซลส์เครื่องเขียนแนะนำคือ ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นยาจีน ถ้ากะไม่ผิดน่าจะเป็นอยูุ่มุม แจ่งกู่เฮือง (ตะวันตกเฉียงใต้) อร่อยดี ชามละ 50 บาท จริงๆอยากกินอีก แต่อยากไปหาอะไรอย่างอื่นกินบ้าง
  7. ขี่วนไปแถววัดพระสิงห์และหลงทางไปแถวหน้าสามกษัตริย์ แวะไปที่ พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา เพราะเป็นที่เดียวที่คราวก่อนไม่ได้เข้าไป ดูๆแล้วความน่าสนใจไม่เท่ากับอีก 2 ที่ๆไปคราวก่อนนนะ ถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วไปดีกว่า
  8. ไปตลาดวโรรส มาเชียงใหม่หลายที ไม่เคยไปถึงเสียที แล้วก็สับสนทุกทีว่าตลาดดอกไม้ ตลาดต้นลำไย อยู่ตรงนี้แล้วตลาดวโรรสมันอยู่ตรงไหน ทั้งๆที่มันอยู่ที่เดียวกันเลย ต้องใช้เทคนิคการจอดมอไซด์นิดหน่อยเพื่อไม่ให้พนักงานเทศบาลมาเก็บค่าจอด  อิอิ
  9. ในตลาดมีของฝากมากมาย ที่ฮิตๆ เช่น ร้านดำรงค์ ขายหมูทอด น่ากินมากแต่คนเยอะอยู่ร้านเดียว เราก็กะไว้ในใจว่าพรุ่งนี้จะมาซื้อ (แต่ถึงเวลาก็ไม่ได้มาเพราะคิดว่าจอดรถยากเกินไป) เรากินข้าวซอยในตลาดต้นลำไย แล้วออกเดินทางไปหาญาติที่ฝั่งหนองหอย
  10. เสร็จจากหาญาติแล้วก็กลับมาที่โรงแรม เขาเริ่มงาน 13.00 ก็พอดีๆ
  11. มีทางลัดสำหรับการมาที่ ร.ร.คุ้มภูคำ คือ ไปทาง ถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ ด้าน เมญ่า แล้วเข้าซอย โทรคมนาคม หรือ ซอยถัดไปก็ได้ เข้าไปจนสุดแล้วเลี้ยวขวา สุดอีกทีจะเจอโลตัสเอกเพรส แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะไปโผล่ถนนเลียบคลองชลประทานได้ ก็จะเลี่ยงรถติด และ ไม่ต้องไปยูเทิร์นไกลนะ
  12. กิจกรรมในงานก็รันไปปกติ
  13. ตอนเย็นหลังจากจบงานแล้วออกไปเที่ยวเล่นกลางคืนหาของกิน เมืองนี้หาของกินเล่นพวกขนมปัง น้ำปั่นกินยากเหมือนกันนะ หรือเราไม่รู้แหล่ง ไปแถวนิมมานก็งั้นๆ มาคนเดียวไม่ค่อยกล้าเข้าไปเที่ยวพวกวอร์มอับ อะไรพวกนั้น กลับโรงแรมดีกว่า ง่วงแล้ว
  14. นอน
  15. ตื่นสายอดกินมื้อเช้าที่โรงแรม แต่ก็ใช้เวลาที่มีนิดหน่อยนั้น เขียนบทความหอการค้าจนเสร็จ หลังจากนั้น เช็คเอ้าท์เลย ออกไปหาอะไรกินต่อ
  16. ด้วยความขี้เกียจไปเบียดกับคนที่ ตลาดวโรรสแล้ว ก็เลยว่าจะซื้อของฝากที่ ตลาดต้นพยอมละกัน เลยยิงตรงจากหน้าโรงแรมไปตลาดต้นพยอมเลย ถนนเดียวกัน แวะซื้อของ ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม หมูยอ ใจจริงอยากกินแค้บหมูมาก แต่ไม่มีร้านไหนยื่นให้ชิมและทางบ้านก็บอกว่าไม่ต้องซื้อมาเพราะมันอ้วน อีกอย่างที่อยากกินมากคือ แกงฮังเล ดันมีแต่ร้านที่ขายกับข้าว แต่ไม่ได้ขายข้าว ทำให้ซื้อกินไม่ได้ ไม่มีจานใส่ด้วย เซ็งจริงๆ เลยต้องสั่งข้าวผัดพริกแกงกินหลังตลาดนั่นล่ะ ไม่ได้อร่อยมากแต่หิว และให้น้อยด้วย
  17. แนะนำทางลัดอีกแล้ว ถ้าออกมาจากตลาดต้นพยอมจะเจอสี่แยกด้านนึง และจะเจอคลองชลด้านนึง ถ้าไม่อยากไปยูเทิร์น และไม่อยากรอสี่แยก แนะนำให้เข้าซอย ที่เป็นอาบอบนวดอมรินทร์ ข้างๆ ไปแล้วหาซอยเชื่อมด้านซ้าย จะโผล่ไปถนนใหญ่ไม่รู้ชื่ออะไรได้ แล้วออกมาเจอสี่แยกจะเลี้ยวขวากลับเข้าเมืองได้เลย
  18. ตรงไปเจอคูเมืองแล้วเลี้ยวเข้าเมืองไป จุดหมายต่อไปคือ ไปกินข้าวร้านเฮือนเพ็ญ เห็นเขาว่าขึ้นชื่อเรื่องอาหารเหนือ จริงๆ อยากไปกินเฮือนใจ๋ยองอะไรที่เพื่อนๆ ไปกินมาเมื่อคราวก่อนแล้วเราไม่ได้ไป แต่ดูแล้วไกลมาก ขี่มอไซด์ไปไม่ไหว กินนี่ล่ะ
  19. เจอร้านแล้วสั่งเลย เกาเหลาน้ำเงี้ยวกับข้าวจิ้นหมู เป็นข้าวคลุกหมูสับเหมือนข้าวผัดหนำเลี้ยบ กับ พริกแห้งแตงกวากระเทียม และสั่งหมูทอดมาจานหนึ่ง อร่อยดี รวมราคา 140 บาทถ้วน รีบกินรีบไป แต่อิ่มมากๆ เลยนะ
  20. แวะวัดเจดีย์หลวงแป้บนึง คราวก่อนมาตอนกลางคืน ไม่ค่อยเห็นอะไร วันนี้มากลางวัน สวยงามมาก และเพิ่งเห็นด้วยว่าที่นี่คือตำแหน่งศาลหลักเมืองเชียงใหม่ มีเสาอินทขีล ตามความเชื่อของลานนาโบราณด้วย
  21. บ่ายโมงแล้วกลับบ้านดีกว่า ขี่รถหลงอีกแล้ว ไปทางถนนช้างม่อย แอบเข้าซอยเพื่อจะไปสะพานนครพิงค์ หลงไปหลงมา2-3 รอบ จนสำเร็จ ก็ข้ามสะพานขับตรงๆอย่างเดียวเลยครับ เชียงใหม่รถติดมาก ตั้งแต่เมื่อวานก็สังเกตมาทีนึงแล้ว แถววฮิปๆ นิมมาน ห้วยแก้ว นี่อย่างนานเลยครับ ต้องวางแผนการเดินทางดีๆ ไม่มีธุระทางนั้นก็ไม่ต้องเข้าไป ถ้ามีซอยเล็กน้อยแถวข้างๆ ก็ลองเข้าไปดู เผื่อเป็นทางลัดได้
  22. ไปจนถึงอาเขต เขารถไปคืนร้านเขา เขาคืนบัตรประชาชนให้ เราไปขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน ยี่ห้อ ศรีทะวงศ์ (ชยสิทธิ) เวลา 14.00น. ราคา 385 บาท คราวนี้ไม่มี vip แล้ว เพราะเราคงไม่หลับตลอดทางหรอกมันกลางวันแล้ว ขึ้นรถปรับเบาะปุ๊บ หลับปั็บ รถยังไม่ทันออกเลย อิ่มจัด
  23. รถจอดเป็นระยะๆ ตาม บขส.ของจังหวัดต่างๆ และแวะกินข้าวที่ร้านขวัญ 2 สลกบาตรดังเดิม ถึงบ้านตอน 21.30 น. น่าจะได้นะ
จบการีวิวอย่างด่วนๆ ครับ ขอบคุณครับ