Saturday, December 30, 2006

Pixelgirl Presents Free Icons, Desktops and Gallery Shop!

Pixelgirl Presents Free Icons, Desktops and Gallery Shop!

my favourite wallpaper website
leave it here in case I forget

Thursday, November 30, 2006

ครูภาคใต้

ปกติผมเป็นคนไม่ชอบครูเลย
มองเป็นคนที่เรื่องมาก จู้จี้จุกจิก
แต่พอได้ข่าวเรื่องโจรใต้กับสถานการณ์โรงเรียนในพื้นที่
ก็รู้สึกหดหู่

บางทีถ้าเรารู้เหตุผลจริงๆของปัญหานี้
เบื้องหลังอาจเป็นเจ้าของร้านเครื่องเขียน หนังสือ ขัดผลประโยชน์ หรือเปล่า

หดหู่ ปนสะใจ ผมบ้าหรือเปล่าเนี่ย

Friday, November 24, 2006

memo ประจำวัน

เมื่อคืนคุยกันเรื่อง การแบ่งกลุ่มขององค์กรในจังหวัดออกเป็นประเภทต่างๆ
โดยมีกราฟแกนตั้งและนอน แกนตั้งเป็น อายุ แกนนอนเป็นองค์กรดั้งเดิม กับองค์กรใหม่
กลุ่มที่เราประชุมกันทุกวันพุธ เป็นพวก องค์กรใหม และอายุมากหน่อย ส่วนพวกที่ประชุมกันทุกวันอังคารแรก พวกนั้นเป็น องค์กรใหม่ แต่อายุน้อยหน่อย ส่วนพวกโรตารี่ ไลออนส์ สมาคมชมรม พวกนั้น เป็นยุคเก่า และ อายุมาก ทุกคนกำลังลองคิดถึงอายุน้อย แต่องค์กรดั้งเดิม นึกไม่ออก อาจจะเป็นพวกโครงการแลกเปลี่ยนต่างๆ ก็เป็นได้ หรือพวก คณะสีในโรงเรียน รวมกลุ่มกันแต่ว่ายังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ

มีผู้วิเคราะห์ว่า ชมรมแบบไลออนส์ โรตารี่ กำลังมีปัญหาตรงที่ไม่มีคนเข้าไปร่วมใหม่ๆ มีแต่คนแก่ๆ เก่าๆ ไม่มีไอเดียอะไรใหม่ ๆ พวกที่อายุน้อยก็มักจะคิดว่า องค์กรมันแก่ เข้าไปก็เจอแต่คนแก่ๆ ร้องเพลงเก่าๆ เล่นมุขที่ไม่ค่อยขำ ก็เลยไม่เข้าไปร่วม

มีอีกกราฟ คือ แกนนอนเป็น เพื่อธุรกิจ<------------>เพื่อสังคม ส่วนแนวตั้งก็เป็นประสบการณ์ในชีวิตมาก กับประสบการณ์ในชีวิตน้อย
พวกกลุ่ม วันพุธ เป็นพวก ประสบการณ์มาก และเพื่อสังคม
พวกกลุ่ม วันอังคาร เป็นพวก ประสบการณ์น้อย เพื่อธุรกิจ
พวกฟอรั่ม เป็นพวก ประสบการณ์มาก เพื่อสังคม
พวกหอการค้า เป็นพวก ประสบการณ์มาก เพื่อธุรกิจ

เค้าพยายาม จะจัดหาให้ทุกคนได้ประสานงานกัน โดยให้คนคิดถึงเรื่องที่จะสามารถทำงานร่วมกันได้

+++++++++++++++++++++++++++++
ต่อไปเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
1.เด็กๆบางส่วนที่ไม่สนใจการทำกิจกรรมเพื่อสังคม เพราะเขาเห็นตัวอย่างของพ่อแม่ในการทำกิจกรรมสังคมดังกล่าว มาตั้งแต่เด็ก ได้เห็นแต่พ่อแม่ได้แต่กล่อง แต่ไม่ได้รับความร่ำรวยขึ้นแต่อย่างใด
2.เด็กอาจจะคิดเป็นปมด้อยด้วยเรื่องการไม่เอาใจใส่ธุรกิจ หรือ ครอบครัว ทำให้เด็กในยุคนี้ ถ้าเลือกได้จริงๆ เค้าอาจจะไม่อยากไปสังคมกับใครเลยก็ได้ มีความยินดีที่จะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับครอบครัวมากกว่า
3.เด็กๆ คิดว่าที่เค้าเป็นอยู่ในปัจจุบันจริงๆ เค้าคิดว่าน่าจะเป็นได้ดีกว่านี้หากเค้าตั้งใจทำธุรกิจให้ดี ลดหนี้ให้พ่อแม่ และจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหน่อย ดังนั้นอย่าไปเข้าสังคมเลย มีแต่ค่าใช้จ่าย

ร้อยแปดเหตุผล แห่งความไม่บรรลุวุฒิภาวะ

แล้วเราจะเปลี่ยนได้ไหม ผมว่าอาจจะได้แต่นานและต้องรอให้ถึงวัยอันสมควร ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากไปสังคมกับใครเท่าไหร่ พอเข้าสังคม ต้องวางตัวผิดจากเดิม ทำให้ไม่สบายตัวเลย ไม่ไปก็จะกลายเป็นกบในกะลา แน่นอน ถึงข่าวสาร เทคโนโลยีมีมากมาย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทดแทน เรื่องซุบซิบนินทา ข่าววงในต่างๆ หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไปได้เลย แต่ผมก็ยังรู้สึกต่อต้านอยู่ดี

เราทำธุรกิจ มีคนรู้จักมากๆ มีเครือข่ายมากๆ ตามหลักการแล้วดี แต่ทนได้ไหม กับการขายของแล้วต้องลดกระหน่ำเพราะเกรงใจกัน
เวลาเราไปซื้อเขา แล้วเขาคิดแบบเราไหม หรือว่าเขาชาร์จ ตามปกติ ซึ่งตรงนี้จะว่าเป็นเรื่องเล็กก็เล็ก ใหญ่ก็ใหญ่นะครับ

คิดไปคิดมาก็เหมือนเขียนไม่มีประเด็นอีกแล้วหนอเรา
แฮ่ๆ ง่วงนอน ไปก่อนดีกว่า

Tuesday, November 14, 2006

boxbox.buddyfusion.com

วันนี้มีเพื่อนคนนึงทางเอ็ม จริงๆ ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมแหละครับ
คุยด้วยเพื่อที่จะให้คอมเม้นท์เว็บไซต์ด้านบนนี้ เป็นเว็บบล็อกที่จะสามารถให้โพสต์วีดีโอได้ด้วย
ซึ่งก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคอนเซ็ปท์เท่าไหร่ ได้แต่ดูแล้วบอกว่าสวยดี

เค้าถามว่าเราเขียนบล็อกด้วยหรือเปล่า เราบอกว่า เขียน แต่ไม่ให้ดู
อ้าว ทำไมล่ะ เราบอกว่า ช่วงนี้มีความทุกข์เยอะ ไม่อยากให้อ่าน กลัวอ่านแล้วหดหู่
เอามาเหอะ ขอดูหน่อย

มีบล็อก ก็เหมือนมีจู๋ นายมีจู๋ หรือเปล่า อ๋อ มี แต่ไม่ให้ดู เอาไว้เล่นคนเดียว
เอามาเหอะ ขอดูหน่อย

แหม เปรียบเทียบได้เลวร้ายจริงๆ

แล้วอีกคนใครไม่รู้ น่าจะถามชื่อไว้ โทรมาผิดตอน เที่ยงคืน 20 แล้วก็ทำเสียงหัวเราะคิกคัก แล้วก็วางไป แล้วโทรมาใหม่ ถามว่าทำอะไรอยู่คะ ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ เหรอคะ แล้วรบกวนหรือเปล่าคะ ก็ไม่ค่อยอ้ะครับ เหรอคะ แล้วกินข้าวหรือยังคะ เอ้ะยังไง ก็ต้องกินแล้วสิครับ นี่เที่ยงคืน 20 แล้วนะครับ โทรจากเมืองไทยหรือเปล่าเนี่ย หมายความว่ายังไงคะ ก็ถ้าอยู่เมืองไทยก็ควรใช้เวลาเดียวกัน แล้ว เที่ยงคืน 20 ก็ควรจะกินข้าวแล้วนี่ครับ แล้วนี่รบกวนหรือเปล่าคะ ก็เริ่มนิดหน่อยแล้วครับ เหรอคะ ใช่มิคหรือเปล่าคะ ไม่ใช่ครับ อ้าว แล้วใครล่ะคะ ก็ไม่ใช่มิคละกันครับ

แล้วก็วางสายไป และโทรมาใหม่อีกสองสามที อะไรหว่า

Sunday, November 12, 2006

ThinkGeek :: Despair, Inc. 2007 Calendars

ThinkGeek :: Despair, Inc. 2007 Calendars

คงเคยเห็นปฏิทินที่มีรูปสวยๆ แล้วก็คำคมด้านล่าง พร้อมกรอบสีดำ กันนะครับ
มาเวอร์ชั่นนี้ ธิ้งกี้ก นำมาทำใหม่เป็นเวอร์ชั่น มองโลกในแง่ร้าย และสิ้นหวังครับ
ลองอ่านดูนะครับ มีทุกเดือนเลย
  • January - Wishes. When you wish upon a falling star, your dreams can come true. Unless it's really a meteorite hurtling to the earth which will destroy all life. Then you're pretty much hosed no matter what you wish for. Unless it's death by meteor.
  • February- Procrastination. Hard work often pays off after time, but laziness always pays off now.
  • March - Compromise. Let's agree to respect each other's views, no matter how wrong yours might be.
  • April - Effort. Hard work never killed anybody - but it is illegal in some places.
  • May - Motivation. If a pretty poster and a cute saying are all it takes to motivate you, you probably have a very easy job. The kind robots wil be doing soon.
  • June - Worth. Just because you're necessary doesn't mean you're important.
  • July - Teamwork. A few harmless flakes working together can unleash an avalanche of destruction.
  • August - Consulting. If you're not a part of the solution, there's good money to be made in prolonging the problem.
  • September - Cluelessness. There are no stupid questions, but there are a lot of inquisitive idiots.
  • October - Ambition. The journey of a thousand miles sometimes ends very, very badly.
  • November - Achievement. You can do anything you set your mind to when you have vision, determination, and an endless supply of expendable labor.
  • December - Idiocy Never underestimate the power of stupid people in large groups.

Sunday, November 05, 2006

bact' is a name

นานๆ จะได้เข้ามาอ่านบล๊อกของพี่คนนี้ซักที
ไม่ได้เจอตัวเป็นๆ นานแล้วนะครับ
แต่ก็ยังนิยมชมชอบความคิด และทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของพี่เค้าอยู่ดี

อ่านเรื่องเดินไปตามถนน เรื่องความเห็นทางการเมือง เรื่องเล่นๆ แล้วคิดว่าัตัวเรา ความคิดแบบนี้ที่เคยมีมันหายไปไหนหมดหนอ

เราเคยแต่งห้องหอพัก ปลูกต้นไม้ เลี้ยงปลา สะสมแสตมป์ ต่อจิ๊กซอว์
ฟังเพลง อ่านนิตยสาร ไปงานแฟต ไปงานหนังสือ ไปงานกิ๊ฟศิลปากร
ไปงานสวนสันติชัย ไปถนนข้าวสาร มีความอิ่มเอมใจกับการมองโลกในแง่ดี

ส่องกระจกแล้วมองหน้าตัวเอง แทบไม่น่าเชื่อว่าเคยทำกิจกรรมแบบนั้นมาก่อน
ทุกวันนี้อยู่แบบไม่มีความฝันอะไรอีกต่อไป...ไม่รู้ทำไม
งานเยอะเกิน
เครียด
ทำสิ่งที่ไม่รัก หรือ ไม่รักสิ่งที่ทำ

ผู้คนมักจะอวยพรกันว่าขอให้มีความสุขมากๆนะ
ถ้าขออะไรได้ในวันเกิดปีนี้ อยากให้ความรู้สึกดีๆ แบบก่อนๆ กลับมาอยู่กับเราอีก
มองโลกในแง่ดีขึ้น มีความสุขกับชีวิตบ้าง
มีชีวิตแบบใช้ชีวิตไม่ใช่มีชีวิตแบบชดใช้กรรม

ตกลงเขียนไปเขียนมา ไม่เกี่ยวกับพี่อาร์ทเท่าไหร่
แต่เกี่ยวกับตัวผมเอง ที่คิดถึงพี่เท่านั้นแหละ

Tuesday, October 31, 2006

...

สุขสันต์วันเกิด

Tuesday, October 17, 2006

Fringer | คนชายขอบ ? Blog Archive ? เลิกพูดกันสักทีว่า “นักการเมืองโกงไม่เป็นไร ขอให้เศรษฐกิจดีก็พอ”

Fringer | คนชายขอบ ? Blog Archive ? เลิกพูดกันสักทีว่า “นักการเมืองโกงไม่เป็นไร ขอให้เศรษฐกิจดีก็พอ”

บทความนี้ อ่านแล้ว เข้าใจได้ดี
และรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ยังนึกไม่ออกว่าจะแก้อย่างไร
ตกลงระบบอุปถัมภ์ ดีหรือไม่ เป็นญาติกันเลยช่วยกัน รู้จักกันเลยช่วยกัน
หรือจะเอาแบบ ตามความสามารถจริงๆ ไม่ช่วยกันเลยจะไหวมั้ย

ขายของไม่ลดราคาเลยจะไหวมั้ย
หรือว่าการค้า กับเรื่อง อุปถัมภ์ เป็นคนละเรื่องกัน

Sunday, September 17, 2006

colored

This poem was nominated poem of 2005 for the best poem, written by an African kid!!!When I born, I Black,When I grow up, I Black,When I go in Sun, I Black,When I scared, I Black,When I sick, I Black,And when I die, I still black..And you White fella,When you born, you Pink,When you grow up, you White,When you go in Sun, you Red,When you cold, you Blue,When you scared, you Yellow,When you sick, you Green,And when you die, you Gray.And you calling me Colored ?

Sunday, August 20, 2006

ชีวิตวันนี้

จากการที่ไม่สามารถสั่งการบล้อกด้วยการกดที่แป้นบนไออี หรือ ไฟร์ฟอกซ์ได้เหมือนเดิม ทำให้ เกิดความเบื่อหน่ายในขั้นตอนมากที่จะต้องล็อกอินเพื่อที่จะ เขียนแต่ละครั้ง

ชีวิตวันนี้

1.เรื่องการใช้โทรศัพท์ของพนักงาน บางคนก็มีนิสัยในการใช้โทรศัพท์ ที่น่ารำคาญ พูดเสียงดัง มึงมาพาโวย ในร้าน ทำให้รบกวนบรรยากาศการช้อปปิ้งมาก หนำซ้ำพูดในเรื่องธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่ธุรกิจของร้านเสียอีกด้วย เราก็ไม่รู้จะตักเตือนอย่างไร เนื่องจากเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว น่าจะรู้ผิดชอบชั่วดี แต่จริงๆ แล้วปัญหาหลายอย่างที่ผ่านมาให้ปีนี้ ก็เกิดมาจากท่านผู้นี้ทั้งนั้น เพราะเขามั่นใจในความคงแก่เรียนของเค้า และความเหนือ ปัญหานี้แก้ยาก เพราะตัวเขาเองก็มีความมั่นใจในตัวเอง ในแนวทางที่กระทำอยู่มาก บางคนก็พูดว่า เรื่องแบบนี้ พนักงานเก่าแก่ บางทีเราก็ต้องทำเป็นปล่อยๆ บ้าง แต่จริงๆ แล้วมันควรพบกันครึ่งทาง บางเรื่อง ก็ปล่อยได้ บางเรื่อง พนักงานเก่าควรทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่พนักงานใหม่ด้วย ไม่อย่างนั้นใครจะเคารพนับถือกันเล่า

2.ต่อเนื่องจากเรื่องที่แล้ว การนำกิจการส่วนตัวมาทำในที่ทำงาน บางทีเราก็เห็นว่าไม่สมควร เช่น ขายของ หรือ นัดพบลูกค้า แต่ร้านเราเป็นบริเวณสาธารณะ ซึ่งจะห้ามแบบนี้ก็คงยาก แต่ก็คงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ปฏิบัติ เป็นหลัก วันนี้นอกจากจะประสานงานเรื่องการใช้เรือเพื่อการจุดพลุแล้ว พอตอนบ่ายก็ตั้งท่าจะโทรไปรบกวนใช้พื้นที่สำหรับเก็บสินค้าก่อนด้วย เราเองก็เกรงใจเจ้าของพื้นที่มาก แต่ไม่รู้จะพูดยังไง เรื่องจุดพลุซึ่งเป็นธุระส่วนตัว ซึ่งก็อาศัยความสนิทสนมของเราไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องนัก
บางทีก็รำคาญใจ และคิดไปว่าหรือเราให้เงินเดือนเขาไม่พอ ทำไมเค้าไม่เอาใจใส่ในงานที่ได้รับมอบหมายเลย แล้วทุกวันนี้เค้าแอบมุบมิบอะไรบ้างหรือเปล่า เก็บเงินแล้วไม่มาจ่าย โอ...เราไม่มีทางรู้เลย

3.คุณลูกค้าวันนี้ มีคนที่น่าสรรเสริญคนหนึ่ง คือ คุณพยาบาลจากบ้านกล้วย ซื้อลูกโลกหนึ่งอัน และซีดีรอมสอนภาษาอังกฤษ สองชุด ดีมาก ให้บัตรสมาชิกไปหนึ่งใบ วันหลังพี่เค้าจะได้มาซื้ออีกเพราะมีส่วนลด หรือเปล่า?

ส่วนลูกค้าอีกคนหนึ่ง เป็นคนที่ปากกาเขียนไม่ติดคราวที่แล้วที่มาว่าเรา เราก็บอกว่าให้เอามาเปลี่ยนได้ วันนี้ก็ไม่ได้เอามาหรอกนะ แต่คุณคนนี้ทำให้เรารู้สึกอึดอัดมาก ตรงที่เค้าเิดินไปดูสินค้าอย่างนึงแล้วบอกเราว่า

ทำไมมันแพงจังเนี่ย ที่โรงเรียนขายแค่ 50 เองนะ ที่นี่ขายตั้ง 55
แล้วคุณแม่กับคุณลูกที่มาด้วยกันก็ทำหน้าทำตารังเกียจของของเราขึ้นมาซะงั้น
เราก็บอกว่า ก็ปกตินี่ครับ ไม่ได้ตั้งราคาเกินเหตุเลย ราคานี้แหละครับน่าจะถูกต้องแล้ว
เธอก็ยัง ไม่ยอมลดละ
เราก็บอกว่าเค้าอาจจะรับของมาขายจากคนละที่กันก็ได้ครับเลยราคาทุนมาไม่เท่ากัน
เค้าก็บอกด้วยเสียงอันดังว่า แต่นี่แพงกว่ากันตั้งห้าบาทนะ
เราก็บอกว่า แต่ที่โรงเรียนเค้าเปิดขายแค่จันทร์ถึงศุกร์นะครับ ที่นี่เราเปิดทุกวันเลย
แต่ที่โรงเรียนหนูเปิดวันเสาร์อาทิตย์ด้วยอ้ะ
นั่นสิ เด็กก็ไปซื้อที่โรงเรียนได้อยู่แล้วทุกวันนี่จ้ะ

เอ้ะพี่ครับผมจำได้ว่าผมชวนพี่สมัครสมาชิกแล้วหรือเปล่าครับ คราวที่แล้วผมชวนพี่สมัครสมาชิกแล้วหรือยังครับ
อ๋อ สมัครแล้ว พี่ได้บัตรมาแล้ว
งั้นอย่างของชิ้นนี้ มัน 55 บาทใช่มั้ยครับ พอลด 10 เปอร์เซ็นต์ ก็เหลือก 49.50 บาท แล้วถูกกว่าโรงเรียนแล้วนี่ครับ
แหม แค่ห้าสิบสตางค์เอง
ก็ถือว่าถูกกว่านิดหน่อยแล้วนะครับ
อ้าวแล้วทำไมไม่ตั้งราคา 50 ไปเลยล่ะ
ก็ต้องมีไว้เพื่อให้ลูกค้าที่มาประจำแบบพี่บ้างไงครับ ถ้าไม่มาประจำ ไม่ได้เป็นสมาชิกก็ไม่ได้ลดราคาไงครับ
หืมมมมมมมมม.....อ้ะ เอาก็ได้ สองอันนะ
พี่ครับเวลาพี่ซื้อของนี่น่ะครับเวลาอันไหนของผมถูกกว่าชาวบ้านเค้าพี่ช่วยบอกต่อด้วยสิครับ ไม่ใช่บอกแต่อันที่ราคาแพงกว่าอย่างเดียว อย่างนี้ผมก็แย่สิครับ เวลาของถูกไม่เห็นมีคนชมเลย

แต่สรุปแล้วพี่เค้าก็ซื้อไปสองอันรวมกันกับของอย่างอื่นอีกจนได้

เฮ้อ บีบคั้นจริงๆ ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา ความต้องการของคนนี่มันไม่สิ้นสุดจริงๆ

---------------------------
จบแล้วครับ

Saturday, July 29, 2006

อับเดทชีวิต เดือน กรกฎาคม 2549

ดูสถิติแล้ว ไม่ค่อยมีคนเข้ามาอ่านเท่าไหร่
แล้วดีหรือเปล่า อืม ก็ดีเหมือนกัน เก็บเป็นความลับ
เวลาจะโพสต์ด่าใครจะได้ไม่ต้องกลัวเค้ารู้น่ะ

พอดีดูเดือนของอันที่โพสต์อันที่แล้ว แล้วแปลกใจ ว่าเราไม่ได้เข้ามาเขียนอะไรเลยตั้งแต่เดือนเมษา เชียวหรือ
อืม ก็อาจจะจริง

ช่วงนี้มีอะไรจ้าบๆ มั่ง

ไปเที่ยวฮ่องกงมาเมื่อ 15-17 ก.ค. กับบริษัทขายกระดาษ สนุกดีเหมือนกันนะ ไปคนเดียว นอนคนเดียว เที่ยวคนเดียว ไม่รู้จักใครเท่าไหร่ ก็งั้นๆนะ ตอนแรกแม่จะไปด้วย มาดูอีกที เป็นช่วงต้องจ่ายเงินค่าหนังสือ เลยไม่ไปดีกว่า เดี๋ยวไม่มีคนดูแลบ้าน เลยเสียตังค์ค่า ทำวีซ่าไปแล้วเอาคืนก็ไม่ได้ แล้วก็ต้องจ่ายเพิ่มสำหรับการนอนคนเดียวอีก

ไปดีสนีย์แลนด์ด้วย ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เล็ก และ ไม่ผาดโผน พื้นที่จอดรถใหญ่กว่าพื้นที่จริงๆของดีสนีย์แลนด์เสียอีกแน่ะ ส่วนการช้อปปิ้งก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย ไปเดินเล่นซะมากกว่า

การทำงาน
ก็เครียดๆ ไม่ค่อยได้ดั่งใจ วันๆ ก็ใช้งานร่างกายอย่างหนักหน่วง นอนดึก ตื่นสาย และขายของทั้งวัน ชักเริ่มสงสัยในอนาคตการทำงานของตัวเองว่าจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า พยายามอยากให้มีอะไรแปลกใหม่บ้าง แต่ก็ดูยากเหลือเกิน อยากลองทำอะไรหลายอย่าง แต่ก็ด้วยทัศนคติ และธรรมชาติของธุรกิจที่ทำอยู่ก็ค่อนข้างยากที่จะทำได้ในเวลาอันสั้น

การศึกษา
คิดเรื่องเรียนต่อมั้ย ก็คิดบ้าง แต่หลังจากที่มีคนไปเพิ่มภาระด้านนั้นคนหนึ่งแล้ว เราก็ไม่อยากจะไปเพิ่มอีกคน เพราะ มันหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทันที ก็ต้องรอให้คนใดคนหนึ่งเรียนจบก่อน กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าน้องเราเรียนจบปริญญาตรีแล้ว เราจะบอกให้เรียนโทไปเลยดีมั้ย หรือบอกให้ออกมาลองทำงานก่อนดี เรียนโทเลยก็ดี จะได้ไม่เก้ๆ กังๆ แบบเรา แล้วก็อย่าไปยุ่งสุงสิงกับพวกที่ต้องทำกิจกรรมต่อเนื่องด้วย พวกนี้ ถอนตัวยาก

ความรัก
แปลว่าอะไร
ยังคงไม่มีศรัทธา และความเชื่อในรัก อยู่ มองความรักในแง่ลบอย่างสม่ำเสมอ เป็นภาระ เป็นสิ่งผูกมัด เป็นข้อขัดแย้ง ไม่ให้กำลังใจ ไม่ให้ความอบอุ่น สิ้นเปลือง
ไปฮ่องกง ก็ขอพรเจ้าแม่กวนอิม ที่ Repulse bay เหมือนกัน ว่าขอให้มีความสุขกว่านี้หน่อย และถ้าได้เรื่องรักด้วยก็น่าจะดี

การเงิน
ก็ไม่ได้เงินอะไรมามาก แม่ก็ยังเอาเงินเข้าบัญชีให้ตามปกติ รายจ่ายก็มีบ่อยๆ ก็เรื่องกาแฟกระป๋อง กินเป็นประจำเกือบทุกวัน อาหารกลางวันเป็นบางวัน บางทีก็ออกเงินแทนบริษัท บ้างนิดหน่อย เวลาต้องซื้อสินค้าเงินสด แม่ถามว่าเราจะมีความสามารถที่จะเก็บเงินได้ซักล้านหนึ่งในปีนึงมั้ย เราบอกว่า คงยากนะ ขนาดทำอย่างนี้ทุกวันนี้ยังล้างหนี้ไม่ได้เลย ซักล้านนึง แล้วจะเก็บเงินไว้นิ่งๆ โดยไม่ฝากธนาคารเนี่ยนะ ยากส์มาก

สุขภาพ
ปวดคอ ไหล่แข็ง เครียด มีสิว หน้ามัน นอนดึก ตื่นสาย ง่วงนอน ต้องกินกาแฟ พยายามกินนม ส้ม และ น้ำผลไม้ แต่ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน ไม่ได้ออกกำลังกายเลย คิดว่ามันเป็นการเสียเวลา เห็นคนสูงๆ เดินเข้ามาในร้านก็อิจฉาเค้าอยากตัวสูงมาก แต่ไม่อยากออกกำลังกาย แฮ่ๆ

อับเดทแค่นี้ก่อนนะ

Wednesday, July 05, 2006

มันเป็นอะไรของมันบล้อกไม่ได้อีกแล้ว

มันเป็นอะไรของมัน บล้อกแบบทูลบาร์กูเกิ้ลไม่ได้อีกแล้ว
ต้องให้เราเข้าไปเขียนเองในแดชบอร์ด
น่ารำคาญจริงๆ

ปวดหัว

นอนดีกว่า

Saturday, April 29, 2006

การอ่าน หัวใจสำคัญของการพัฒนาชาติ

"สังคมไทยขาดวัฒนธรรมในการอ่าน และขาดปัจจัยสนับสนุนโดยคนไทยอ่านน้อยมาก หากเทียบกับต่างประเทศ จะเห็นว่าคนไทยอ่าน แค่เพียง 5 เล่ม ต่อคนต่อปี ในขณะที่สิงคโปร์ อ่าน 17 เล่ม ต่อคนต่อปี และสหรัฐอเมริกา 50 เล่ม ต่อคนต่อปี ส่วนสถิติการใช้ห้องสมุดพบว่า คนไทยต่ำกว่า 3% ที่เข้าห้องสมุดประชาชน 1 ครั้ง 1 ปี ที่สำคัญพบว่ามีคนไทยต่ำกว่า 1% ที่เป็นสมาชิกห้องสมุดประชาชน เพราะในปี2546 มีผู้ที่เป็นสมาชิกห้องสมุดเพียง 420,000 คนเท่านั้น"

เน้นเอาข้อมูลเขามาหน่อย เผื่อว่าวันหนึ่งเค้าอาจจะลบทิ้งไป

อ่านดูแล้วใจหายว่า ทำไมคนไทยเราถึงอ่านหนังสือกันน้อยจัง แม้แต่คนที่จังหวัดของเราเองก็อ่านหนังสือกันน้อยนะผมว่า ไม่รู้สิครับว่าเค้าเอาตัวเลขมาจากไหนนะ แต่บางทีพวกที่ไปยืนอ่านฟรีที่ร้านหนังสือก็มีนะ คิดว่าน่าจะมีเยอะด้วย แบบนี้นับมั้ย

คนสนใจหนังสือน้อยอย่างนี้ ร้านหนังสือจะอยู่ได้ยังไง ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ และยอมรับเลยว่าติดอินเตอร์เน็ต และทีวี มากกว่าหนังสือ ทั้งๆ ที่สามารถหาได้ง่ายกว่าทุกๆ คนเลยด้วยซ้ำ หน้าบ้านก็มี หลังบ้านก็มี

ตอนเด็กๆ ผมเคยชอบอ่านหนังสือนะ แต่มาพักหลังไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ก็เลิกชอบไปซะงั้น บางทีก็รู้สึกว่ามันไม่สนุก มันยืดยาด มันไม่ทันใจ หลายที รู้สึกว่า กูรู้แล้วน่ะ ด้วยซ้ำ

เมื่อหนังสือสำหรับผม จากสิ่งบันเทิงเริงรมย์ มันกลายเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้การอ่านหนังสือไม่สนุกเหมือนเดิม ไม่สนุกเท่าการต่อรองราคาว่าจะลดได้เท่าไหร่ หรือ ไม่เศร้าเหมือนที่รู้ว่า หนังสือขายไม่ได้เลยซักเล่ม...

คนในประเทศจะโง่ วันนี้คุยกับพี่ทรงสืบว่ามีหลายตัวแปร กระทรวงศึกษา กรมวิชาการ สองอันนี้ควบคุมการวางหลักสูตร โรงเรียน อาจารย์ผู้สอน พวกนี้ ควบคุมความคิดและกระบวนการ พ่อแม่ พวกนี้เลือกโรงเรียน ตัวเด็ก อันนี้ตั้งใจหรือเปล่า ถ้าไม่ตั้งใจก็ไม่รู้เรื่อง และที่สำคัญก็คือ ร้านหนังสือแบบเราๆ ท่านๆ นี่เอง ที่จะชักจูงครูอาจารย์ให้ซื้อหรือไม่ซื้อ ใช้หรือไม่ใช้ (ลดหรือไม่ลด)

เด็กจะโง่จะฉลาดก็อยู่ในมือใครล่ะครับทีนี้ ถ้าคนขายหนังสือ คนใช้หนังสือยังมานั่งต่อรองราคากันอยู่เพื่อที่จะได้ราคาถูกๆ แล้วอนาคตของชาติก็จมดินหมดสิครับ

หรือไง

Wednesday, March 29, 2006

คำถาม และ คำตอบ

1.คุณชื่ออะไร = ต้องบอกด้วยหรือเปล่า
2.มีสัตว์เลี้ยงกี่ตัว ชื่ออะไรบ้าง = หมา 1 เม็กกี้ ตอนนี้ไม่ค่อยสบาย เนื้องอกที่แก้ม
3.ตอนนี้คุณมีเงินอยู่ในกระเป๋าตังค์เท่าไหร่ = หลายร้อย แต่ไม่ถึงพัน เอ้ะ เป็นสรรพากรหรือเปล่า
4.วันนี้ตื่นกี่โมง = 10 โมง มาตรฐานมาก แต่จริงๆควรตื่นเช้าหน่อย
5.ตัว หนังสือ A-Z ชอบตัวไหนมากที่สุด = ไม่รู้
6.คุณเกิดวันที่เท่าไหร่= 31 ตุลา 2523 อ้าว ทำไมหน้าเด็กจัง
7.อายุเท่าไหร่แล้วล่ะปีนี้= นับเอาสิครับ จากข้อข้างบนอ้ะ
8.ของขวัญวันเกิดปีนี้อยากได้อะไร = ความศรัทธาในเรื่องต่างๆ ลดความวิตกกังวล ความกล้า และปัญญา
9.จากข้อ 8.ทำไมละ =ความศรัทธา เพื่อ มุ่งมั่นทำในสิ่งนั้น โดยเราเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมลดความวิตกกังวล เพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองความกล้า เพื่อจะได้ทำอะไรที่อยากทำอีกมากมายปัญญา เพื่อจะได้คิดได้เสียทีว่าทุกวันนี้มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
10.อนาคตอยากเป็นอาราย = ยังมองไม่เห็น ถ้าไม่มีเงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม อยากเป็น นั่นสิ นึกไม่ออก
11.เลข1-100คุณชอบ เลขตัวไหน และเพราะอารายถึงชอบ = คิดเกิน ห้า วิ แปลว่าไม่มี
13.อยากกินอะไรล่ะ? = pavlova,king's cookies
14.คุณชอบพูดภาษาอะไรเมื่ออยู่ประเทศไทย = คำถามนี้แปลกมาก ว่าถ้าไม่ตอบว่าไทย จะตอบว่าอย่างไร ดิจิตอล ไบนารี่ หรือว่า ภาษาซี จริงๆ ชอบ php มากกว่า
15.สูงเท่าไหร่ = 163 อืม ไม่ค่อยสูง แต่ก็ไม่ค่อยดี18.สีอารายที่คุณชอบที่สุด = เขียว
19.บ้านคุณอยู่ที่ไหน = นั่นสิ ตั้งแต่กลับมาจากแลกเปลี่ยน นึกไม่ออกเลยว่าบ้านเราอยู่ไหน สับสนไปหมด
20.รายการวิทยุที่กำลังฟังอยู่หรือเพลงที่กำลังฟังอยู่ตอนนี้ = 104.5 fat radio เด็กแน้ว เด็กแนว
21.นิสัยของคุณเป็นยังไง = ขี้วิตกกังวล ไม่มีระบบ ขี้เกียจ คิดมาก แต่ก็มีข้อดีบ้าง มีความคิดสร้างสรรค์พอประมาณ พูดเป็นต่อยหอย (เป็นข้อดีเหรอนี่)
22.การ์ตูนเรื่องโปรดของคุณ = โคโค่ สลัดจอมลุย
24.คุณให้ความสำคัญกับใครมากที่สุดระหว่างเพื่อนกับแฟน = ตัวเอง เป็นได้ทั้งเพื่อนตัวเอง และ แฟนตัวเอง ช่วงนี้มีอคติกับสังคม ดังนั้นคนรอบข้างจะงงๆ หน่อย
25.จาก ข้อ24. ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น = มีอคติกับสังคม
26.คุณกำลังร้องเพลงอยู่รึเปล่า = ป่าว
27.อย่างไหนที่คุณชอบมากที่สุดระหว่าง ธนบัตร 100 บาทกับธนบัตร 500 = 100 แดงสด งดเชื่อ เบื่อทวง
28. คุณผมสั้นหรือผมยาว = สั้น
29.คุณมีผมสีอาราย = ดำอ่อน หงอกนิดหน่อย
30.ม่าม่ากับไวไวชอบอันไหน = ไวไวควิก
31.ชอบใส่เสื้อสีอาราย = สีตามวัน
32.ชอบฟังเพลงแนวไหนมากที่สุด = แบบที่ฟังแล้วรู้สึกได้เลยว่าคนแต่งเก่ง เช่น รู้บ้างไหม ของเครสเซนโด้ เป็นต้น
33.อยากบอกรักใครไหม? = (มองกระจก) กูรักมึงนะ เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้เลิกกินกาแฟซะที แล้วไปนอนซะ
34.ตอนนี้มีคนที่ชอบอยู่รึป่าว = ไม่แน่ใจ เหมือนมี แต่ก็ไม่มี
44.ข้อดีของตัวเองคิดว่าคืออะไร = บอกไปในข้อนิสัยตัวเองแล้วนี่
45.แล้วข้อเสียล่ะ? = บอกไปแล้วเหมือนกัน49.ถ้าคุณว่างมากมากคุณจะโทรไปหาใครเป็นคนแรก ? = ไม่โทร ไม่นิยมใช้เวลาว่างโดยการโทรศัพท์ ถ้าว่างจะไปดูหนังคนเดียว หรือว่ายน้ำ
50.คติประจำใจในการดำเนินชีวิต = ทุกอย่างเราควรทำเองคนเดียวหมด เราคือผู้ที่โลกสร้างมาให้ทำสิ่งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำไม่ได้ก็ตาม
54.เรื่องอะไรที่คุณคิดว่าน่าเจ็บใจที่สุด = ขาดทุน เสียรู้ลูกค้า ลูกน้อง ซื้อของแพง ทำไมมีแต่เรื่องการค้า ไม่มีเรื่องทางจิตสำนึก หรือ ความรู้สึกบ้างหรือไง ไอ้คนไร้ความรู้สึกเอ้ย
56.ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ = พิมพ์เหี้ยนี่ไง
59.สิ่งที่อยากพูดมากที่สุด = อย่าไปเรียนโทเลยนะครับ มาช่วยกันทำมาหากินเถอะนะครับ จะไปเปิดบริษัทใหม่ก็ตามใจ แต่ว่าผมขอ อย่าไปหาเรื่องใหม่ให้มากกว่านี้เลยนะครับ ผมช่วยจนเรียนตรีจบแล้ว ก็ให้โอกาสผมเรียนบ้างไม่ได้เหรอครับ
61.คุณเคยเข้าเว็ปต้องห้ามหรือเปล่า? = บ่อยๆ จนเสพติด วันไหนไม่เข้าก็รู้สึกขาดอะไรไปอย่าง เหมือนไม่ได้กินกาแฟ
63.กลัวความมืดไหม = กลัวนิดหน่อย
64.ทำไมคนเรา หน้าตาดี แล้วนิสัยอับปรี = จริงเหรอ ทำเหมือนมันเป็นสัจจนิรันดร์ งั้นแหละ จริงๆ ไม่น่าจะใช่นะครับ
65.กลัวแมลงสาบรึป่าว = ไม่กลัว แต่ก็ไม่อยากเหยียบเพราะว่าสงสาร แต่ก็ไม่อยากให้มาเกาะแกะ สกปรก
66.เวลาว่างคุณจะทำอะไร = ว่ายน้ำ ดูหนัง ฟังแฟต เขียนเว็บ เก็บข้อมูลสินค้า คิด คิด คิด คิด คิด คิดไปเรื่อยเปื่อย
67.อยากแต่งงานมั้ย = ไม่อยาก คิดว่าการแต่งงานจะนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ อีกมากมายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยอะไรก็ตาม พร้อมกับมีตัวอย่างที่ไม่ดีมากมายที่ดูได้ว่าแต่งแล้วจะเป็นอย่างไร หนำซ้ำก็เห็นตัวอย่างมากมายเหมือนกันที่ไม่ได้แต่งงานแล้วชีวิตสนุกสุดๆ อาชีพการงานไปโลดเลย
69.ถ้าพรุ่งนี้เราต้องจากโลกนี้ไปจะทำอะไรเป็นสิ่งสุดท้าย = "บอกรักพ่อกับแม่ เพื่อนๆ ไปหาเธออีกสักครั้ง make love กะแฟนเด๊"ขอเน้นคำของคนก่อนหน้าหน่อย เป็นอะไรที่ไม่ได้มีอะไรดีเลย ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่ผมจะทำจะเป็นเรื่องดีแต่ผมจะไม่ทำเรื่องที่สองคนนั่นบอก ไม่ใช่ว่าผมไม่มีพ่อแม่ หรือไม่มีแฟน แต่ถึงจะมีครบ ผมก็ไม่คิดว่ามันสำคัญมากพอที่จะทำในวันสุดท้ายของชีวิต
คำตอบของผมคือ ไม่ทำอะไรพิเศษเลย ดำเนินชีวิตตามปกติ เผื่อคนที่มาบอกว่าพรุ่งนี้เราจะตาย เกิดโกหก เดี๋ยวเขินตายเลย ทำอะไรไปก่อนน่ะ70.สิ่งที่คิดว่าเป็นข้อผิดพลาดที่สุดในชีวิตคือ? = เคยอยากตอบแบบคนก่อนหน้าคือการเรียนที่ SIIT แต่ตอนนี้ลืมไปหมดแล้วเรื่องแบบนั้นคิดแต่เรื่องวันนี้ ปัจจุบันว่าจะทำมาหากินอะไร สิ่งที่ผิดพลาดที่สุดคือ วิ่งชนะเพื่อนๆตอนมาปฏิสนธิ
71.รายการทีวีที่ชอบดูมากที่สุด = ไม่ค่อยได้ดู72.เรื่องอะไรที่คุณดีใจที่สุดในตอนนี้ = ทำโปรเจ็คให้เค้าสำเร็จ แล้วก็อะไรอีกก็ไม่รู้นึกไม่ออก ไม่ค่อยมีเรื่องดีใจเลยช่วงนี้บรรยากาศเซมๆ
73.เพลงอะไรที่คุณชอบร้อง = รักแท้ ของอาร์มแชร์
74.ตัวการ์ตูนชายที่คุณชอบที่สุด = บอกไปแล้วจะหนาว ถ้าไม่นับที่คิดอยู่นั่น ก็คิดไม่ออก ชอบหลายตัว76.สุนัขพันธุ์ไหนที่ชอบมากที่สุด = ใจจริงๆ เลยนะ รัสเซลเทอร์เรีย บีเกิ้ล บาสเส็ทฮาวน์77.ชอบดูหนังมั้ย = ชอบดูคนเดียว อย่ามาเกาะแกะไม่ชอบรำคาญ78.แล้วชอบดูหนังแนวไหนล่ะ = แนวนอน79.การ์ตูนละชอบดูมั้ย = โดเรมอน แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์80.คุณขับรถเป็นรึป่าว = เป็นแต่ขี้เกียจเลยไม่ค่อยได้ขับ เลยเหมือนขับไม่เป็น แล้วก็เหมือนจะขับไม่ได้แล้วด้วย81.ตอนนี้คุณใส่แว่นอยู่มั้ย = ไม่ได้ใส่ สายตาเหมือนจะยาว แต่ไม่รู้ดิ มองอะไรไกลๆ เห็นชัด ชอบเขียนหนังสือตัวเล็กๆ82.คุณคิดว่าคุณหน้าตาดีไหม = ดี83.นักแสดงชายสุดโปรด = อืม นึกไม่ออก เยอะแยะ84.นักแสดงหญิงสุดโปรด = คนคิ้วเข้มๆ ชื่ออะไรนะ แสดงเรื่องวาเลนไทน์ด้วย ติดอยู่ริมปาก...เดนนิส ริชาร์ด ใช่แล้ว อืม ดูสวยคมชัดที่สุดแล้ว
85.เบื่อหรือยัง = พอสมควร ปวดหัวตุ๊บๆ ใช้ความคิดมากเกิน ปกติคิดเหมือนกันแต่คนละแบบ
86.คุณใช้อินเตอร์เน็ตของอาราย = ทีโอที ถามทำไม จะบล๊อกเหรอ
87.เล่นเน็ตวันละกี่ชั่วโมง = ซัก หก ชั่วโมงได้มั้ง แต่กระจายๆกันนะ
88.นักร้องหญิงที่ชอบ = หลายคน อิน บูโดกัน ทำไมหว่า เค้าเสียงดีนะ89.นักร้องชายล่ะ = นพ พรชำนิ,คิว วงฟลัวร์,เบน ชลาทิศ
90.ให้เลือกระหว่างจีนกับฮ่องกงคุณจะเลือกไปที่ไหน = เมืองจีน กว้างกว่า เลือกได้อยากทันสมัยหรือไม่ทันสมัย เร้นลับ และ น่าจะหาโอกาสขายของได้
92.ใครส่งเมลล์ให้คุณ = คุณทศ
93.แล้วจะส่งเมลนี้ไปให้ใครมั่งล่ะ = ไม่ส่ง เพราะเป็นอีเมล์ที่รบกวนเวลาตอบของผู้รับมาก
94.คุณอยากจะพูดอะไรกับคนที่คุณจะส่งเมลนี้ไปให้ไหม = ไม่ส่ง ก็ไม่ต้องพูดอะไร เอางี้ ก็ต้องพูดกับคนที่อ่านเจอ ใช่มั้ย ขอบคุณนะครับ แต่ทีหลัง ไม่ต้องอ่านมาถึงบรรทัดนี้ก็ได้นะครับ เสียเวลา
96.แล้วคุณว่าจะมีคนตอบเมลที่คุณส่งไปให้พวกเขาไหม = แปลว่า คุณคิดว่าจะมีคนตอบ คอมเม้นท์บล้อกอันนี้มั้ย อาจจะต้องรอซักร้อยปี แต่คงมี
97.เคยแอบรักเพื่อนตัวเองป่ะ = แน่นอน โผล่มาแว่บๆ เป็นๆหายๆ

Monday, March 27, 2006

ขั้นตอนในระบบการศึกษา

พ่อเล่าให้เราฟังวันนี้ว่า เค้ารู้สึกอารมณ์เสียกับระบบการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษามาก
เค้าพยายามเป็นอย่างมากที่จะเรียนปริญญาตรีจนจบ (ถึงแม้จะใช้เวลา 8 ปี เต็มสตรีม และพึ่งพาความช่วยเหลือจากหลายคนหน่อย) แต่พอตอนมาทำเรื่องจบ ต้องจ่ายเงินค่าขึ้นทะเบียนบัณฑิต อันนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะคงต้องเอาไปจัดงานฉลอง รับปริญญา ต่างๆ ซึ่งพอเข้าใจได้ แต่จุดที่ทำให้อารมณ์เสีย คือ ขั้นตอนการยื่นเอกสาร เอกสารการจบการศึกษา จะต้องนำไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่หลายๆ ฝ่าย เช่น บรรณารักษ์ เพื่อจะเช็คว่า นักศึกษาคนนี้ลืมคืนหนังสือ หรือมีค่าปรับค้างหรือเปล่า ฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา เพื่อจะเช็คว่า ยืมโทรโข่งไปใช้แล้วคืนหรือยัง หรือว่า มีคดีความหรือเปล่า แล้วก็พวกฝ่ายวิชาการ ทะเบียน อะไรอีกมากมาย

แล้วทีนี่ เจ้าหน้าที่บางคนก็เล่นแง่ตรงที่บอกว่า ถ้าฝ่ายนู้นไม่เซ็นต์ก่อน ฝ่ายฉันก็เซ็นต์ไม่ได้ (ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย) พ่อเราก็โมโห บอกเค้าว่าทำไมหรือ ช่วยอธิบายหน่อยว่าเหตุผลคืออะไร เจ้าหน้าที่ก็ตอบไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า เป็นขั้นตอนค่ะ ดิฉันเป็นเด็กฝึกงาน อาจารย์สั่งให้ทำอย่างนี้ก็เลยต้องทำตาม ไม่ทราบเหตุผลค่ะ

พ่อเราก็บอกเค้าไปว่า จำคำพูดผมไปบอกอาจารย์คุณเลยนะ ว่า การที่มาบอกให้เราขึ้นลงตึกหลายๆครั้งเพื่อดำเนินการเรื่องแบบนี้ เป็นความจำเป็นหรือเปล่า ผมยินดีที่จะจ่ายค่าลงทะเบียนบัณฑิตแพงกว่าเดิมอีกร้อยบาทเพื่อให้ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในจุดเดียว แล้วให้คุณลองคิดถึงพวกนักศึกษาที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วเขามาแล้วไม่เจออาจารย์ เซ็นต์ไม่ได้ แล้วเค้าไม่ต้องกลับไปกลับมาหลายรอบหรือ การศึกษา มันก็เหมือนการขายของแบบหนึ่ง ถ้าเป็นร้านค้าแล้วทำขั้นตอนมากแบบนี้มีหวังเจ๊งแล้ว นี่ก็ถือว่า ร้านนี้ไม่เจ๊งเพราะว่าบังเอิญมีของขายมากกว่าคนอื่น ถ้าคนอื่นมีของที่เหมือนกันอย่าหวังเลยว่าจะขายได้

สรุปคือ เอกสารทั้งหมด เรื่องจบก็ต้องฝากเค้าไว้ แล้วก็ต้องกลับมาตามใหม่วันจันทร์อยู่ดี

นี่แหละครับความเลิศเลอเพอเฟคของระบบการศึกษา ที่หลอกล่อเราตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก็ยังหลอกเราให้เดินขึ้นเดินลง เดินไปเดินมา เหมือนคนโง่คนบ้า เพื่อที่จะหาทางออกจาก สถานที่แห่งนั้นให้ได้

แล้วไม่มีใครคิดแก้ปัญหาหรือ

Wednesday, March 22, 2006

milestone of my website 1000 visitors a good start

วันนี้ เป็นวันที่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เรียนดี ครบ 1000 คน
ซึ่งจริงๆ แล้วมีพวกเราเข้ากันไปเองก็คงกว่าครึ่งแน่นอน ฮ่าๆ
เป็นวันที่ควรบันทึกไว้

Thursday, March 09, 2006

Sunday, March 05, 2006

หาความน่าจะเป็นของการออกเลขท้ายสองตัวเบิ้ล

Intellect Co., Ltd.

การซื้อหวยเป็นการมอมเมาอย่างหนึ่งแต่ก็ยั่วยวน

เราไม่เคยซื้อหวยมากี่ปีแล้วนะ

Friday, February 17, 2006

เตี่ยส่งให้เสี่ย

ไปร่วมงานของสำนักพิมพ์หนังสือแห่งหนึ่ง มีการบรรยายเรื่อง เตี่ยส่งให้เสี่ย ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งมอบและสืบทอดกิจการให้กับ บุตรหลาน
อาจารย์ผู้อบรมให้ความรู้ดังนี้

สิ่งที่กำลังหายไปในยุคใหม่นี้
ภาษีที่ลดลงเรื่อยๆจากการเปิดเสรีต่างๆ
ระยะทางลดลงเรื่อยๆ จากการมีเทคโนโลยีต่างๆ
ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ จนเปรียบว่าใครมีข้อมูลคือมีอำนาจ

เท่าที่อาจารย์สังเกตดูคนที่จะอยู่รอดในสังคมยุคใหม่นี้ จะต้องทำสี่อย่างคือ
เรียน เล่น ทำงาน และเข้าสังคม

การจะถ่ายทอดกิจการให้กับใครนั้นก่อนอื่นต้องคุยกันก่อนเพื่อดูทัศนคติเกี่ยวกับการทำธุรกิจและเรื่องต่างๆ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายนั้นบ้างก็เปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป บ้างก็เปลี่ยนเร็วๆ หรือที่เรียกว่า กระบวนทัศน์ (paradigm shift) (ยังฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่) การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันตัวอย่างเช่น คนเราเห็นลูกโป่งลอยได้เลยคิดว่า คนเราถ้าอยากจะลอยได้บินได้ก็ต้องทำตัวให้เบา ก็เลยสร้างบอลลูนขึ้นมา แล้วก็พยายามลอยไปข้ามมหาสมุทร แต่ก็ไม่สำเร็จซะที ลองไปตั้ง 200 ปี จนพี่น้องตระกูลไรท์ ทำเป็นเครื่องร่อนที่แปลงมาจากจักรยาน

การเปิดสาขาของธนาคารตอนแรกก่อนฟองสบู่แตกเป็นการเพิ่มสินทรัพย์ แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นหนี้สิน เป็นค่าใช้จ่ายที่ธนาคารพึงมี ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยหากธนาคารใดปิดสาขาย่อยไปบ้างเพื่อลดค่าใช้จ่ายนั่นเอง

อ้าเหนื่อย ขี้เกียจพิมพ์แล้ว เดี๋ยวมาต่อนะ

Friday, February 10, 2006

Fringer! บทความในงานรับปริญญาอีกอันหนึ่ง

เยอะไปหน่อย อ่านไม่หมดซะที
คั่นหน้าไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านอีกที

Saturday, February 04, 2006

ห้านาทีทองในการสัมภาษณ์งาน

ถ้าเป็นเรา เราจะตอบปัญหาเหล่านี้อย่างไร

Friday, February 03, 2006

JobsDB.com - Thailand - Interactive Recruitment Network

JobsDB.com - Thailand - Interactive Recruitment Network

นาน ๆ จะเจออีเมลที่อ่านแล้วมีความสุข

อ่านดูนะครับ คนที่ไม่ศรัทธาในความรักอย่างผมก็ชอบเรื่องแบบนี้เหมือนกัน

... เราเริ่มที่จุดจบ ... ~
สวัสดีครับ ผมชื่อแจ็คครับ ผมแต่งงานได้
3 เดือนแล้วครับ แต่คุณเชื่อม่ะ
แต่งเหมือนไม่ได้แต่งเลย ผม
ยังคงมีชีวิตเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง
ต้องย้ำว่าเกือบ
เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิตส่วนตัว
ผมยังคงเที่ยวกับเพื่อนคืนวันศุกร์ เมาสุดๆคืนวันเสาร์
และถอนให้ออกคืนวันอาทิตย์ ไงล่ะครับ อิจฉาผม
ไหม ที่มีอิสระได้อย่างนี้
ภรรยาของผม เรียกแบบนี้ก็ไม่เชิงนะ
เรียกว่าคนที่ผมเข้าพิธีแต่งงานด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่
สวยนะครับ เธอก็สวยเหมือนผู้หญิงทั่วไป...
ผมว่าเธอก็น่ารักแบบไม่เหมือนใครดีนะ
แต่เพื่อนมันบอก
“กรูเห็นหน้าแล้วเจี๊ยะบ่โละว่ะ” (เห็นแล้วกระเดือกไม่ลง)
เธอไม่ใช่คนสวยแบบนางงาม ที่หุ่นสวย
หน้าใส ท่าทางสง่า พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวาน
เป็นแม่บ้านแม่เรือน ....
ทุกอย่างที่ผมพูดมานั่น
ตรงข้ามหมดเลยครับ
เธอชื่อ นักกี้ครับ เธอบอกให้ผมเรียกสั้นๆว่า
กี้ และเธอจะเรียกผมว่า
จัก เพราะชื่อฝรั่ง
ไป ไม่เหมาะกับหน้าไทยแบบผม ดูปากเธอสิ
กัดกันตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอและนี่คงเป็นเสน่ห์ของเธอ
อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมตกลงแต่งงานกับเธอทันทีหลังจากวันดูตัว
ทั้งที่ในวันนั้น......
“โธ่ลุง อย่ามาแต่งกะหนูเล้ย ลุงดูนะ หน้าตาก็ไม่สวย
แค่น่ารักปานกลาง
หุ่นก็ไม่บองบาง ติดจะล่ำซำ
ไขมัน นี่ๆเห็นอะไรไหมฟันเกตรงมุมปากเนี่ย
เขี้ยวซ้อนแหลมๆเนี่ย
ผู้หญิงฟันซ้อนกัน โหหหห ไม่น่ายุ่ง
หรอก หนูทำกับข้าวก็ไม่เป็น ไม้กวาดไม่เคยจับ
ไม้ถูพื้นไม่คิดแตะ
ซักผ้าก็ส่งร้าน
เอางี้ หนูลุงให้ 20 คนเลย เนี่ยะ
รายชื่อพร้อมเบอร์โทร กะที่อยู่
ลุงเลือกเลยจะเอาคน
ไหน เดี๋ยวติดต่อให้ ขอบอกโสดๆ สวยๆ ทั้งนั้น
เพื่อนหนูเอง คุยกันได้ นี่ๆๆ
เอาไปเลย”
ผมมองเธอยิ้มๆ และคงเผลอมองนานไปหน่อย
“อ่าวลุง ไม่ขำนะ น้อยไปเหรอ อืมมม
ขอคิดแป๊ปนะ เอางี้ ให้อีก 20 เลย
แต่คราวนี้เป็นรุ่น
น้องนะ ตอนนี้อยู่ปี 2 กะ 3 รับรองโสด สด
สวย แต่ไม่รู้จะซิงรึเปล่า
่ขอเวลาวันนึงหาที่อยู่กะเบอร์ให้

ครับ เธอพยายามติดสินบน ไม่ให้ผมแต่งงานกับเธอ
ด้วยรายชื่อ
ที่อยู่พร้อมเบอร์โทร.สาว ก๊า
กกๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นโว้ย นี่ถ้าผมบ้าจี้รับข้อเสนอนี้ไป
ไม่กลายเป็นพวกค้าหญิงส่งออกรึ จะบ้าตาย
แม่สื่อเขาคิดอะไรของเค้านะถึงมาจับคู่ผมกับเธอ
หลังจากปล่อยให้เธอพล่ามข้อเสนอ สินบนไปจนเหนื่อยเอง
โดยมีผมนั่งยิ้มมองเธออย่างเดียว ยังไม่พูด
สักคำ ดูไปแล้วท่าทางเหมือนคนขายประกันจริงๆ
พอพูดจนเหนื่อย เธอก็ยกกาแฟเย็นดูดรวดเดียวหมดแก้ว
เอาหลังมือเช็ดปากแบบลวกๆ ติดจะ
เรอหน่อยๆนะ ถ้าได้ยินไม่ผิด
“ตกลกไม่แต่งกะหนูนะ จะได้บอกมัมกะแด้ดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว
ส่วนเรื่องรายชื่อเอาไปหมด
เลยละกัน ทั้ง 40 เนี่ยแหละ แล้วถ้าสนคนไหน
โทรบอกหนูที่เบอร์นี้นะ ฮี่ๆ “
เธอหยิบปากกาเขียน
หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ลงกระดาษโน้ต
“อ่ะ โทรได้ตั้งแต่ สิบโมงเช้า ถึง สี่ทุ่ม”
มีเวลาเปิดปิดด้วยแฮะ
“ไปนะค๊า หวัดดีค่า หวังว่าคงไม่เจอกันอีก
ทั้งชาตินี้ หรือชาติไหน
แล้วนี่ค่ากาแฟของหนู อีก 5 บาท
ไม่ต้องทอน ติ๊บให้”
ครับ สินบนสำหรับการไม่แต่งกับเธอคือ
รายชื่อพร้อมที่อยู่ เบอร์
กับเงินอีก 5 บาท อืม คุณคิดว่า
ผมควรรับข้อเสนอหล่อนไหมเนี่ยยยย
วันต่อมา ไม่รู้ผมคิดยังไงถึงกดเบอร์โทรเธอ
อารายยย
ก็เบอร์มันติดมากับโทรศัพท์เท่านั้นเอง
คิดมากๆ
“สวัสดีครับ นักกี้”
“อืมมมมมมมม”
ขณะนั้นผมจำได้ว่าเป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมง
แต่เสียงเธอดูเหมือนสะลึมสะลือ
“ว่างไหมครับ คุยกันหน่อยสิ”
“ไม่ว่าง คนจะนอน ไว้โทรมาใหม่นะ ฝากเบอร์กะชื่อไว้
โทรกลับไม่โทรอีกเรื่อง
แค่นี้นะ”
เฮ้ย นี่มันบ่ายสองนะขอรับ
ว่าที่เจ้าสาวของผม เธอยังไม่ตื่นนอน
ว่าจะบอกข่าวดีซะหน่อย ว่า
....
........ ที่บ้านฝ่ายหญิง......
“ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ คุณพี่ขา ในที่สุด ในที่สุด”
“ใช่ คุณน้องครับ ในที่สุด ในที่สุด”
“ยายหนูก็ขายออก ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงพ่อกับแม่ฝ่ายหญิงพูด น่าจะเป็นตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“คุณนายขา เป็นอะไรไปคะ” เสียงสาวใช้รีบวิ่งออกมา
“นี่ จุ๋ม แจ๋ว แหวว เธอรู้ไหม ยายหนูจะได้แต่งงานแล้วนะ
ที่ไปดูตัววันก่อนน่ะ
ฝ่ายชายเขาตกลงแหละ
นี่ๆ เธอต้องแนะนำชั้นนะ ว่าพระวัดไหนดูฤกษ์เก่ง
จะได้ไปผูกดวงกัน อะฮู้ยยย
ตื่นเต้นๆ”
สาวใช้ทั้งสามคนมองตากันด้วยความยินดีไม่แพ้คุณนาย
ในที่สุด
คุณหนูบ้านเราก็ขายออก เย้ๆ
ครับ ว่าที่เจ้าสาวของผมเป็นลูกสาวคนเดียว
ทางบ้านของเธอกับผม
รู้จักเป็นคู่ค้าทางธุรกิจและ
เพื่อนกันสมัยรุ่นพ่อและแม่
ก่อนที่ผมจะรู้ว่ามีการดูตัว
พ่อบอกให้ผมไปพบลูกค้า
แต่พอเธอเดินมาหย่อนก้นลงยังไม่ทันร้อน
ก็ร่ายมาขนาดนี้ ผมรู้ว่าผมโดนเข้าแล้ว
ทั้งที่พยายามบอกปฏิเสธเท่าไหร่
ก็ผมมันสามสิบแล้วนี่ครับ แต่
ขอบอกยังโสดและหน้าตาดีด้วยนะเออ
เรื่องตลกที่สุดคือ วันหมั้น
ก็วันหลังจากที่เธออะละวาดบ้านพัง
หนีออกจากบ้านไปได้เกือบวัน
เพราะมีเงินติดตัว 50 บาท
และนอน และนอน รวมทั้งหมดเป็นเวลา 2 วัน
ทางบ้านของผมและเธอช่วยกันหาฤกษ์ที่ดีและสะดวก
เพราะ1. หมอดูบอกว่า
ถ้าผมและเธอ
ไม่แต่งงานปีนี้ จะไม่ได้แต่งอีกเลยตลอดชีวิต
2. แม่อยากอุ้มหลาน 3.
แม่อยากได้ลูกสะใภ้ 4. แม่
อยากให้ผมแต่งงาน 5. ญาติๆอยากให้ผมเลิกทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้
จีบดะไม่เว้นลูกพี่ลูกน้อง แล้วหักอกแบบ
ไม่ไว้หน้า สรุป มีแต่คนรอบข้างอยากให้ทำ
แต่ผมไม่ใช่พวกตามใจแม่หรอกนะ
ตอนนั้นผมแค่นึกสนุกอยาก
แกล้งเธอเท่านั้น
“มัมขา ไม่แต่งไม่ได้เหยอ หนูยังเด็กอยู่เลยนะค๊า
เรียนก็ยังไม่จบ” เธออิดออด
“ก็ยังไม่แต่งนี่คะ แค่หมั้น” คุณแม่พูดขึ้น
“งั้นแสดงว่าไม่แต่งก็ได้ หมั้นได้ก็ถอนได้
ใช่ไหมคะ” เธอพูดดวงตาเป็นประกาย
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าหนูไม่แต่ง บ้านเรา ฮือ บ้านเราต้อง
ฮือ ต้องล้มละลายนะคะ”
รู้สึกมัมจะตีบทแตกไป
หน่อย มัมรีบเช็ดน้ำตา เพราะพี่แจ๋วเข้ามาเรียกแล้ว
“คุณนายขา ข้างล่างพร้อมแล้วค่ะ”
"ไม่ต้องกลัวยายหนู
ไปขึ้นเขียง เอ๊ย ลงไปข้างล่างกันลูก"
วันนั้นผมจำได้ว่าตาไม่ได้ฝาด
แต่เหมือนได้เห็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอดูสง่างาม
สวยในชุดไทยสีครีม คุณแม่เธอจูงมือลงบันไดมา
และส่งมือเธอให้ผม พาเธอไปนั่ง
ตรงพิธี
คำแรกที่เธอทักทายผมคือ
“มองไรลุง ไม่เคยเห็นนางเอกลิเกรึไง”
แค่นั้นล่ะครับ ทำผมหัวเราะพรืดออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่
อาการสำรวมหายหม้ด
คนอุตส่าห์เก็ก...
หลังจากผู้ใหญ่ทำพิธีกันเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องสวมแหวนหมั้นให้เธอ
แหวนเพชรน้ำงามถูกเลื่อนลงไป
อยู่ในนิ้วนางข้างขวาของเธอ แต่...ก่อนที่มันจะถูกสวมนั้นสิ
“ลุง เปลี่ยนวงได้ม่ะ กลัวทำหายอ่ะ
นะลุงนะ หายมาแล้วยุ่งนา”
เธอกระซิบกับผมเบา
ผมอมยิ้ม กับท่าทางของเธอ แล้วจับมือเธอมาสวมอย่างสบาย
ท่ามกลางการดึงมือกลับเป็นระยะ
เสร็จแล้ว ก็ถ่ายรูปกัน ซึ่ง
“เดี๋ยวๆ ช่างถาพ ไม่เอารูปปึกๆนะ เอ้า
ทุกคนคะ ไม่ต้องยืดตัวตรง นั่งเกร็งค่ะ
เอาแบบสบายๆ รูป
จะได้ออกมาสวยๆ นี่ วัดแสงรึยัง ใช้ได้ล่ะนะ”
แล้วก็รีบวิ่งกลับมานั่ง ฉีกยิ้มแก้มป่อง
ดูเค้าทำสิ
ผมเพิ่งมารู้หลังแต่งงานเดือนแรกว่า เธอเป็นนักถ่าย
รูปสมัครเล่น มิน่า...
ระหว่างงานฉลองเธอเดินมาถามผมว่าจะหมั้นกันสัก
3 ปีได้ไหม
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย และถามว่า
ทำไม
เธอบอกว่า ปีแรกรับปริญญา ปีที่สองขอเวลาค้นหาตัวเอง
ปีที่สามชีวิตคงเข้าร่องเข้ารอยขึ้น
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของเธอ แล้วชู
สามนิ้ว เธอยิ้มแก้มป่อง
แทบจะกระโดดกอดผมทีเดียว
ก่อนที่จะพูดว่า “สามเดือน” นั่นล่ะครับ
แม่คุณโวยทันที
“จะบ้าเหรอ สามเดือน ใครมันจะทำอะไรทัน
นี่ลุงจะรีบไปไหน ห๊า
อยากแต่งงานขนาดนี้ทำไม
ไม่แต่งไปซะนานแล้ว อายุก็ปูนนี้ อยู่บนคานทำไมนานนัก
ห๊า!!!
ก็บอกว่ายังเรียนไม่จบ เข้าใจไหม”
“ก็เดือนหน้าจะรับปริญญาไม่ใช่เหรอครับ
นักกี้”
เธอทำเสียง จิปาก
“ก็ตอนนี้มันยังเรียนไม่จบ นี่เข้าข่ายพรากผู้เยาว์นะบอกให้”
ฮ่าๆ ผู้เยาว์สิ อายุ 21 น่ะ ผู้เยาว์ หรือ
ผู้สาวคร้าบบบบบ ขำกับมุขแกน
ที่ไหลไปได้
“แล้วที่ผมยังไม่แต่ง ก็คงเพราะรอมาเจอนักกี้มั้งครับ
เจอปุ๊ป ถูกใจ
แต่งปั๊ปไงครับ”
“เฮ่อ ตาแก่โรคจิต หัวงู เอาเปรียบผู้หญิง
บังคับขืนใจ
กระทำชำเราหน้าด้านๆ......”
อูยๆ มาเป็นชุด นี่ดีนะ ยืนคุยกันที่สวน
ไม่ค่อยมีคนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็คำพูดแต่ละคำที่
เธอใช้สิ อย่างกับผมไปทำอะไรร้ายแรงงั้นล่ะ
ฝ่ายเธอเหรอ
ทำหน้าหักไปตลอดงานเชียว
จากนั้นผมชวนเธอเข้าบ้านกัน เพราะแดดเริ่มร้อนแล้ว
และคงเหมือนโรคติดต่อที่เธอเห็นผมหัวเราะ
เลยหัวเราะบ้าง
“ขำไรนักหนา คนแก่เส้นตื้น”
ฮ่าๆ นั่น ยัยเด็กเส้นตื้นกว่า หัวเราะตาม
หลังจากวันหมั้นยังไม่ถึงสัปดาห์
เหตุการณ์เป็นตามที่ผมคาดไว้
นักกี้ใช้ชีวิตโสดจนคุ้มจริงๆ ครับ
เธอนอน และนอน และนอน โทรไปทีไร นอนทุ้กที
แต่เพิ่งมารู้จากว่าที่แม่ว่า
ไอ้ที่นอนน่ะ นอนนอกบ้าน
นะ
“พ่อแจ็คช่วยแม่ด้วยเถอะ ยายหนูไปเชียงรายมาสามวันแล้วยังไม่กลับเลย
แม่เป็นห่วง”
แม่เธอพูดเสียงเศร้าๆ ตีบทแตกตามเคย
“ตามไปดูน้องให้แม่หน่อยนะลูก”
ไอ้กระผมก็จำใจต้องตามไปดูแลคู่หมั้น...ด้วยความเต็มใจ
เยี่ยม!!
ได้โอกาสโดดงาน หนีเที่ยว
หลังจากสั่งงานเลขา และเคลียร์งานแล้ว
คืนนั้นผมโทรหาเธอ ถามว่าอยู่ไหน
และไปนั่งเครื่องหาถึงที่
พอไปถึง แม่คนนั้นอึ้งครับ ตกใจเหมือนเห็นผีกระหัง
“เฮ่ย ลุง มาทำไม เที่ยวเหรอ”
“มาตามเรากลับบ้านเราไง”
“ไม่!!! ยังไม่ถึงเวลา นี่กี้จองตั๋วไปเมืองกาญฯต่อแล้ว
จะไปหลงป่า
บอกมัมกะแด้ดด้วย ยังไงก็ไม่กลับ

“น่าสนใจ ไปด้วยสิ”
เธอมองหน้าผมแบบสยองๆ ท่าทางเห็นตัวประหลาด
แล้วส่ายหน้า หยิกแก้ม
แคะขี้หูเหมือนไม่เชื่อหูตัว
เอง
“ได้ยินไม่ผิดหรอก ไปด้วย”
“โฮ่ เพิงเคยเห็นคนแก่กระสันอยากเที่ยว
เป็นบุญตาจริงจริ๊ง”
ผมขยี้หัวเธอด้วยความหมั่นไส้
ปากดีนักนะ เดี๋ยวก็เจอดีหรอก…. อารายๆๆๆ
เค้าเป็นคู่หมั้นกัน
แล้ว อย่ามาแซวกันน่าคนอ่าน….
สองสัปดาห์ต่อจากนั้น เราหมายถึงผมกับเธอ
เราตะลอนเที่ยวทั่วไทยจริงๆ
ทั้งขึ้นเขา ลงแพ ล่อง
แก่ง ลงทะเล ดำน้ำ นอนฟังเสียงคลื่น
ก็เพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่า เธอเป็นนักเที่ยวตัวยงแต่ติดแนวเก็บกด
เหมือนคนไม่ได้เที่ยวมานาน พอมี
โอกาส เป็นตะลอนจนลืมเหนื่อย และที่ติดตัวเธอตลอดคือ
กล้องถ่ายรูปรุ่นเก่า
ที่เป็นแบบกึ่งauto เจอ
อะไร พี่เป็นถ่ายดะ ดูหน้าเธอตอนได้ถือกล้องแล้ว
เหมือนเด็กได้อมยิ้ม น่ามอง
น่ารักจริงๆ
“เออ อย่างงั้นแหละจ้า นิ่งๆ ท่านั้นเลย
(แชะ) ขอบใจมากนะ ลุง ยืมตังค์20
จะเอาให้เด็ก ”
“ของตัวเองอ่ะ”
“ขี้เกียจล้วงอยู่ในถุง เอาของลุงนั่นล่ะ
อย่าหนืดน่า เด๋วกินข้าวเอาให้
เร็วดิ๊ เด็กรอ เห็นไหม”
คุณครับ นี่เข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์รึเปล่าครับ
....
และแล้ววันแต่งงานก็มาถึง
“เฮียจัก ไม่แต่งไม่ได้เหรอ กี้ขอใช้ชีวิตเหมือนคนกะเค้าอีกหน่อยน๊า
น๊าเฮียจักคนดี๊คนดี คนน่าร้าก คน
หล่อที่สู้ดดดเลย”
เริ่มเปลี่ยนจากลุงเป็นเฮีย และเริ่มแทนตัวเองด้วยชื่อ
แหมะ
ผมชอบจังเวลาเธอเรียกชื่อตัวเองเนี่ย
ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู
“คิดมากน่า กี้ ถึงจะแต่งงานแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนี่ครับ
กี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมล่ะ”
“จริงดิ!!!!!!! ไม่ต้องทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้าน
ซักผ้า
เปลี่ยนปลอกหมอนผ้าปูที่นอน”
“บ้านพี่ มีคนทำงานพวกนี้ครับ”
“เจ๋ง!!!!! งั้นก็นอนกลางวันได้ ออกไปถ่ายรูปได้
ดูหนังได้ ไปค่ายอาสาได้”
ผมผงกหัว กับกิจกรรมทั้งหลาย
“แต่ต้องมีพี่ไปด้วย” เธอหน้างิกทันที
“เรื่องไรปล่อยให้เราไปสนุกคนเดียว”
ผมพูดยิ้ม แล้วขยี้ผมเธอด้วยความมันเขี้ยว
เธอเลยแล่บลิ้น แบร่
วันแต่งงานของเรา เป็นวันที่เหนื่อยและสนุกที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม
นิกกี้แปลงร่างอีก
แล้วครับ คราวนี้ยิ่งกว่าวันหมั้นอีก เหมือนไม่ใช่นักกี้ที่ผมรู้จัก
ใครเอายายนักกี้จอมยุ่ง จอมซ่าส์ จอม
ซุ่มซ่าม ยัยเอ๋อของผมไปไหน แล้วผู้หญิงสวย
บาดตาบาดใจ ที่ยืนตรงหน้าผมนี่ใคร
“คุณแจ็ค ถึงกับตะลึงเลยเหรอค๊า เจ๊แต่งเองก็ยังทึ่งกับฝีมือตัวเองเลยค๊า
แหมน้องกี้น่าจะแต่งหน้าบ่อยๆ
นะคะเนี่ย”
ช่างแต่งหน้าเพื่อนเธอทักกับอาการตะลึงของผม
และถ้ามองไม่ผิด ผมเห็นเธออายผมนะ
อิอิ ดูสิ หน้า
แดงแข่งกะแก้มเชียว
ช่วงเช้าเราทำพิธีแบบไทย มีการสู่ขอที่บ้านฝ่ายหญิง
และตอนเย็นมีงานเลี้ยงที่โรงแรม เจ้าสาวของผม
วันนี้เธอสวยมากจริงๆครับ ผมไม่เคยเห็นนักกี้ตอนแต่งหน้า
แต่งตัวแบบเจ้าหญิงมาก่อน
รู้ไหมครับ ประโยคแรกที่เธอทักผมในงานตอนเช้าคืออะไร
“มองอยู่ได้เฮียจัก ไม่เคยดูละครช่อง 7
ตอนเช้าวันเสาร์รึไง แน่ะ ยังมองอีก
วุ้ยยย”
ฮ่าๆ ประโยคเด็ดละลายอาการขรึมของผมได้เช่นเคย
และประโยคแรกในตอนเย็น ที่เจ้าหญิงชุดขาวทักผมคือ
“โรคจิต!! ทำยังกะไม่เคยอ่านซินเดอเรล่า”
คนพูดหน้ามุ้ย แล้วเดินดุ่มๆ ออกไป ถลกกระโปรงยาวเดินเข้างาน
คงจะดีถ้าแม่คุณไม่สะดุดขาเก้าอี้
หรือขาโต๊ะ นั่นๆ ว่ายังทันขาดคำ ล้มโต๊ะไปแล้วหนึ่ง
...
ในงานนี้ ทั้งเพื่อนของผมและเธอต่างทำหน้าไม่เชื่อ
เมื่อได้รับการ์ด
แม้จะมาอยู่ในงานแล้ว ก็ยัง
ทำหน้าเอ๋อกันไม่หาย ไอ้ที เพื่อนสนิทผม
คบกันมาตั้งแต่เรียนมอปลาย มันยังว่า
“ไอ้แจ็ค เอาจริงเหรอวะ ข้าว่า รายนี้มันไม่ใช่สเปคเอ็งนา”
“นั่นสิ พี่แจ็คขา ถ้าถูกพ่อแม่บังคับ
หรือขู่จะยึดเงิน บอกแนนนี่ได้นะคะ
แนนนี่ให้ยืมก่อนก็ได้”
“แจ็ค นี่คุณเสียสติรึเปล่า คิดไงเอาเด็กกะโปโลแบบนี้มาเป็นเมีย
ต้องสวย เริ่ด
ไฮโซ แบบชั้นสิ คุณ
ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
และอีกสารพัดประโยคที่ผมเจอในงาน ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ
ว่า
ผมไม่ได้ถูกพ่อแม่บังคับนะ แต่ง
งานกับนิกกี้ด้วยความเต็มใจ ตอนแรกก็เพราะแค่อยากแกล้งเธอเท่านั้น
และว่าจะถอนหมั้นซะในช่วง
เวลาที่หมั้นกันไว้
แต่เมื่อได้รู้จักเธอแล้ว ผมกลับเป็นฝ่ายถอนตัวจากเธอไม่ได้
ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะ เราคบกันเหมือนพี่น้อง
เหมือนเพื่อนน่ะ
ไอ้ที น้องแนนนี่ และ แพทตี้ยังทำหน้าไม่เชื่อ
กับสิ่งที่ได้ยินนัก
สักพักที่ผมรู้สึกว่า ที่ตรงข้างกายจะว่าง
นานไปแล้ว จึงขอตัวไปตามหาเจ้าสาว
“ดูมันเห่อเมีย วู้ๆ ไอ้ปลาไหลโดนใบข่อยดักโว้ย
วู้วววว” ไอ้ทีแซวตามหลัง
ผมไม่สนใจกับคำพูดของ
เพื่อน เป้าหมายของผมอยู่นั่นไง
อ้อ เธออยู่ที่โต๊ะเพื่อนเธอ โต๊ะที่เสียงดังที่สุดในงาน
เมื่อผมเดินเข้าไปจึงได้ยินเสียง โฮ่ ฮิ้ว
มาแต่ไกล
ทั้งโต๊ะมีสมาชิกทั้งหญิงและชาย และสาวๆในโต๊ะนั้น
สวย สวยมากๆ ขอย้ำ สวยมากๆ
นี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่ไม่รับข้อเสนอของนักกี้ในวันแรก...
“เฮียจัก มาพอดี นี่ ขอแนะนำเพื่อน และน้องให้รู้จัก
เริ่มจากทางขวาคือ แอน
อุ๋ม อ้อน อุ้ม ไก่ โชค
แวว แมน แล้วทุกคน นี่เฮียจัก”
“ดีคร้าบบบบ ดีค่ะ”
ทุกคนยกมือไหว้ผมทันที จะไหว้ทำไมฟร่ะ
ไม่ได้แก่ไรขนาดนั้นสักหน่อย
นักกี้หลิ่วตามองผมแซวๆ ว่า
แก่แล้วนะ ลุงน่ะ ผมทักทายทุกคนสักพักก็พาเจ้าสาวเดินไปโต๊ะอื่น
ระหว่างทาง
เธอหัวเราะและมองผม
อย่างสมน้ำหน้า
“เห็นมั้ยล่า กี้เสนอไปแล้วนา เฮียจักไม่รับเอง
เสียดายล่ะสิ๊”
“ก้อ นิดหน่อยนะตามประสาผู้ชาย”
“ฮ่า สมน้ำหน้า นี่ถ้าตกลงนะ ป่านนี้สบายไปแล้ว
ไม่ต้องมาตก
ระกำอะไรกับกี้หร้อก”
โป๊ก ผมเขกหัวเธอไปทีด้วยความหมั่นไส้
ใครบอกว่าตกระกำ ลำบาก
ผมได้เจอกับสิ่งที่คนอื่นจะ
ไม่ได้ตะหาก
และคืนวันส่งตัวนั่นเอง หลังจากที่ผู้ใหญ่ส่งตัวเข้าห้องหอ
ที่เรือนหอ
บ้านที่ปลูกแยกมาจากบ้านผม
ในพื้นที่เดียวกัน ไม่ไกลนัก
“แด้ดขา มัมขา อย่าทิ้งกี้ไปนะ อยู่ด้วยกันก่อนอ่ะ”
หนวดปลาหมึกที่ชื่อนักกี้เกาะพ่อแม่ไว้แน่น
“ยายหนูไม่ต้องกลัวหรอกลูก อย่างที่แม่สอนไงคะ
โอเคนะ นะ” แม่ทำท่าโอเค
“นั่นสิหนูกี้ พี่เขาไม่ได้จะฆ่าจะแกงหนูหรอกจ๊ะ
ครั้งแรกก็แบบนี้ล่ะ
แม่จะได้อุ้มหลานสักที ทำเพื่อแม่นะ
ลูกนะ”
แม่ผมที่รักลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองพยายามปลอบใจ
“ผมว่า เราเลื่อนวันส่งตัวไปก่อนไม่ดีเหรอคุณน้อง
ลูกหน้าซีดๆ
สงสัยจะไม่สบายนะ” พ่อเธอเริ่มออก
อาการ
“เอ๊ะ คุณนี่ จะมาหวงลูกสาวอะไรนาทีสุดท้าย
ไปๆ ออกไปกันเถอะค่ะ คุณพี่ เชิญค่ะ
ให้บ่าวสาวได้พัก
ผ่อนกัน”
"แด้ด มัม เดี๋ยวอย่าเพิ่งปายยยย อย่าทิ้งหนูไว้น๊าาาาาาาาาาา”
ปัง!!!! ประตูปิดลง
เธอหันกลับมามองผมด้วยแววตาหวาดกลัว
ฮะ ท่าทางเหมือนลูกแมวตัวน้อย แล้วเจ้าลูกหมาจอมซ่าส์
หายไปแล้วครับ แม่คุณ
ดูแววตาสิ เหมือน
ผมเป็นตัวประหลาดน่ากลัวซะเหลือเกิน
เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วยื่นเอาผ้าเช็ดตัวให้ผม
“เฮียจักอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวกี้จะเล่นคอมก่อน”
“เอางั้นเหรอ ตามใจนะ”
แล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำไป
อันที่จริงผมก็ไม่ได้หื่นกระหายใคร่ได้เธอนักหรอกครับ
ผมยังไม่อยากได้ชื่อว่า
เป็นพวกข่มขืนภรรยาตัวเอง ไม่ชอบบังคับใคร
ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็สมยอม
มือระดับนี้ ไม่อยากทำร้าย
ใคร ถ้าจะเอา คงเอาไปนานแล้ว หุหุหุ
และตามที่ผมคิดไว้
ทันทีที่ผมก้าวออกจากห้องน้ำปุ๊ป เธอรีบวิ่งสวนเข้าไปปั๊ป
หอบสารพัดเสื้อผ้า
นี่เธอจะซักผ้าตอนกลาง
คืนรึไง
เวลาผ่านไป ....นาน นาน นาน และนาน
ผมเช็คเมลล์ก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว นั่งเล่นก็แล้ว
รอแล้วรออีก
เธอก็ยังไม่ออกมา เลยปิดไฟข้างผม
เดินไปบอกเธอหน้าประตูห้องน้ำว่า
“พี่หลับก่อนนะครับ อย่านอนในนั้นเลย ออกมานอนด้วยกันบนที่นอนนุ่มๆดีกว่า
ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ไม่ทำ
อะไรเราหรอก”
...ได้ผล ...
เธอค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกมา ด้วยชุดที่
.... เอ่อะ ผมว่ามันไม่ใช่ฤดูหนาวนะ
แต่ดูเสื้อผ้าเธอใส่สิ
เหลือรับประทานจริงๆ
“ฮ่าๆ กี้หนาวเหรอ ดู ใส่เข้าไปได้ไง กลัวพี่เหรอครับ”
ลูกแมวน้อยผงกหัวรับ แววตาระแวงผมสุดขีด
เฮ้อ หลังจากเช็ดเครื่องสำอาง อาบน้ำสระผมแล้ว
เธอก็กลับเป็นยัยนักกี้
ลูกแมวน้อยจอมกวน ที่ตอนนี้
ซ่าส์ไม่ออกไปแล้ว
เธอเดินมายืนชิดขอบเตียง ขณะที่ล้มตัวลงนอนแล้ว
“เฮียจักต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำอะไรกี้”
“หืม! อืม ได้ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอะไรกี้
ถ้ากี้ไม่ทำอะไรพี่”
“เฮ้ย พูดงี้หมายความว่าไง หาว่ากี้จะหน้ามืดไปข่มขืนเฮียรึไง
พูดงี้มาต่อยกันเลยม่ะ”
แต่ผมง่วงเกินกว่าจะทะเลาะกับเธอแล้ววันนี้
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ พี่ง่วงแล้ว
พรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่นะ นอนล่ะ”
แล้วผมก็ปิดไฟ นอนหันหลังให้เธอ
เธอรีๆรอๆ สักพักใหญ่ คงดูว่าผมหลับจริงไหม
เมื่อไม่รู้สึกที่นอนข้างๆมันหยุบสักทีผมเลยแกล้งกรน
ครับ ผม(แกล้ง)หลับไปสักพักใหญ่ ก็ลุกมาดูว่าเธอนอนตรงไหน
เธอไม่นอนเตียงกับผมครับ เธอนอนบ
นพื้นข้างเตียง เอาหมอนและหมอนข้างไปเรียบร้อย
......ทุ่มทุนสร้างจริงๆ
เฮ้อ ยัยลูกแววน้อยจอมซ่าส์เอ๊ย ผมมองเธอด้วยความเอ็นดู
อ่ะ แค่เอ็นดูหรอกนะ
ผมไม่ได้รักเธอ
หรอก แค่สงสารเลยอุ้มเธอขึ้นนอนบนเตียงด้วยกันแค่นั้นเอง
เช้าวันใหม่เริ่มขึ้น แสงแดดอ่อนส่องผ่านหน้าต่าง
ผมยังคงนอนตะแคง
หันข้างให้คนอีกฝากของ
เตียง
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาดิ้นขลุกๆ
อยู่ที่หลัง
ผมพลิกตัวกลับมาดู นักกี้นั่นเอง
เธอนอนกอดหมอนข้างอมยิ้มเหมือนเด็ก และเอาหัวมาซุกหลังผมเหมือนหาไออุ่น
ผมขยับตัวหามุมเล็กน้อย และนั่นคงทำให้เธอรู้สึกตัว
จึงเริ่มขยับ
เปลี่ยนท่านอน ดูเธอสิ อมยิ้มน่า
รักเชียว และนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะก้มลง
จูบอรุณสวัสดิ์เธอที่หน้าผาก
เธออมยิ้มแต่ไม่ยังลืมตา คงไม่รู้ตัวล่ะสิ
ฝันถึงอะไรอยู่น๊า
เธอเริ่มดิ้นอีกครั้งเอาหัวซุกกับหน้าอก
ผม เหมือนเจ้าตัวน้อยที่ดิ้นหาไออุ่นจากอกแม่ของมัน
ผมกอดเธอไว้หลวม
ลอบมองหน้าเธอตอนหลับ
เฮ้อ นี่เราไปสัญญาอะไรบ้าๆกับเด็กฟร่ะเนี่ยยยย
ขันตินายแจ็ค ขันติ คิดได้แค่นั้นผมก็ลุกไปอาบน้ำ
เตรียมตัวไปทำงาน แต่ก่อนลุก
ผมใช้เวลาทำใจอีกนิด
ก่อนจะปล่อยลูกแมวน้อยออกจากอ้อมแขนก
ครับ ผมแต่งงานมา 3 เดือนแล้วครับ ผมใช้ชีวิตเกือบเหมือนเดิม
ยกเว้นแต่
เวลาว่างของผมมักมีภาพ
ใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมาให้คิดถึงเสมอ
นักกี้และผมเป็นเหมือนคู่แฝด
เวลาผมไปฟิตเนส หรือไปเที่ยว
ไหน เรามักไปด้วยกันเสมอ
และความรู้สึกของผม ที่มีต่อเธอมันเริ่มเพิ่มขึ้น
และรู้สึกคิดถึง...
ผมไม่แน่ใจนักว่าควรใช้คำนี้ไหม แค่รู้
สึกข้างกายมันโล่ง เวลาไม่มีเธออยู่ด้วย
ผมมักคิดถึงผมหอมๆ
ที่ชอบแอบมาซุกกับอกผม คิดถึงเจ้าตัว
นุ่มนิ่มที่ได้แอบกอดตอนเช้าก่อนไปทำงาน
คิดถึงรอยยิ้มตอนหลับที่น่ารักจนผมจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว
ถ้าวัน
หนึ่งผมผิดสัญญากับเธอเล่าอะไรจะเกิดขึ้นนะ
คิดได้แค่นั้นก็.... เห่อๆๆๆๆ
“ท่านประธานคะ โครงการนี้ท่านเห็นว่าไงบ้างคะ”
“ท่านคะ ท่าน”
“หา อะไรนะ เมื่อกี้ผมไม่ค่อยเข้าใจ อธิบายอีกรอบสิ”
ก็แบบนี้ล่ะครับ เธอทำให้ผมเป็นมาตั้งแต่แต่งงาน
ทั้งที่อาการแบบนี้ไม่ได้เป็นมานานแล้วตั้งแต่ผมโดนหัก
อกและเริ่มสวมวิญญาณเพลย์บอย นักกี้ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองของผู้หญิงใหม่
มันน่าแปลกมากสำหรับคนที่เกลียดกลัวการผูกมัด
กลัวการผูกพันอย่างผม
ก่อนที่ผมจะเจอเธอ ผมมีสาวๆ
แก้เหงาเสมอ แต่เวลาสามเดือนที่ผ่านมา
ชีวิตเสเพลเริ่มเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย
เพราะรู้ถึงคุณค่าของ
สิ่งที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย แต่ผมกลับไม่นักใจเลยที่ต้องสวมมันไว้
ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย
“เฮียจัก กี้ไม่ใส่ได้ม่ะ กลัวหายอ่ะ อันตรายด้วย
เกิดโดนแท็กซี่ปล้นอ่ะ
น่ากลัวนา ใส่ไปเดี๋ยวทองหมอง
เพชรหลุดอ่า เสียดายของแย่ กี้ถอดเก็บไว้นะ
นะ”
“ไม่ได้!!!!”
ผมตอบออกไปเสียงดังทันที ทำไม แค่ใส่แหวนแต่งงาน
กลัวหนุ่มไหนมันจะรู้ ฮึ
ยัยนักกี้
“กี้แต่งงานแล้วนะ กลัวหนุ่มไหนรู้เหรอ
ว่าเราไม่โสดแล้วน่ะ ทีพี่ยังใส่ได้เลย
พี่สิควรจะรำคาญมัน ไม่
ใช่เรา”
“เฮ่ออออออออ ตูละเบื่อ ตาแก่ขี้หึงจริงๆ“
“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะกี้ เป็นผู้ใหญ่สักทีสิ”
ผมแกล้งพูดน้ำเสียงจริงจัง กลบอาการเขินเต็มๆ
เรื่องอะไรมาว่าเราหึง เหอะ
อย่างกะตัวเองจะมี
หนุ่มไหนมาสน นอกจากผมงั้นล่ะ เฮอะๆ เอ๊ะ
ก็บอกว่าไม่ได้หึง...
“โอ๋ๆๆๆๆ เฮียจัก อย่างอนสิ เอางี้เดี๋ยววันนี้ไปเล่นเกมตู้กัน
กี้เพิ่งอ่านหนังสือเกมส์มา มีเกมส์ออกใหม่
ท่าทางหนุกมากเลย ไปด้วยกันน๊าาาาา”
“ไม่ พี่ไม่ใช่เด็กๆ จะให้ไปเล่นเกมตู้น่ะ”
....
“เฮียจัก เล่นดีดีดิ ยิงให้ถูกหน่อย ฝีมือแย่ชะมัด
เห็นม่ะพากันตายเลย”
“กี้นั่นแหละ ยิงมั่ว มายิงพี่ทำไม เอาใหม่เลย
มา มา
คราวนี้ต้องผ่านด่านนี้ให้ได้”
...
ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งครับตอนอยู่กับเธอ
ช่วงเวลาเด็กที่ผมมักไม่มีเหมือนคนทั่วไป
ผม
ต้องอ่านหนังสือ มุ่งมั่นกับการเรียน ให้ได้คะแนนดีเยี่ยม
และศึกษางานของที่บ้านไปพร้อมกัน จนทำให้ผม
ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้านักธุรกิจรุ่นใหม่
เมื่ออายุขึ้นเลข 3
ผมก็มีพร้อมทุกอย่าง
จนผมตัดสินใจจะแต่งงานกับเธอนี่ล่ะ ถึงทำให้ผมรู้ว่า
แท้จริงแล้ว
ผมไม่ได้มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย สิ่งที่
ชีวิตผมขาดไปคือ ความสุข ความสดใส นั่นเอง
ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะเราแค่สนิทกันเหมือนพี่น้อง
คบ
กันเหมือนเพื่อนน่ะน
คืนวันอาทิตย์ เพื่อนชวนผมออกมาเหล่สาวตามเคย
ทั้งที่ผมบอกปัดมันไปแล้ว
อยากอยู่บ้าน นอนดูหนังกะ
นักกี้บนโซฟา หน้าทีวี ผมชอบแอบดูเธอตอนกำลังลุ้นกับหนัง
และบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาซะงั้น เธอจะ
มาอาศัยไหล่ผมเป็นผ้าเช็ดหน้าครับ นี่ละที่ชอบบบบบ
ผมพยายามอ้าง อกปัดไปเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมเชื่อ
สุดท้ายมันใช้ไม้เด็ด
หาว่าผมกลัวเมีย ชะ คนอย่าง
นายแจ็ค ไม่มีคำว่า "กลัว" ที่ไหนบอกมา
ผมขึ้นไปบอกนักกี้ในห้องอ่านหนังสือว่าจะออกไปข้างนอก
เธอ
ยิ้มให้ โบกมือบ้ายบาย ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
นี่หนังสือนั่นมีดีอะไรนัก ถึงละสายตามามองกัน
ไม่ได้เนี่ย ห๊ะ
“เฮ้ยแจ็ค ทำไมเมียเอ็งดียังงี้ว่ะ ออกเที่ยวกลางคืนยั่งงี้
เขาไม่ว่าอะไรเอ็งเหรอ”
ก็ใครมันลากตูออกมาล่ะว้า
“ไม่หนิ”
“งั้นเขาก็ไม่แคร์เอ็งเท่าไหร่น่ะสิ ดีว่ะ
แฟนข้านะ บอกจะออกเที่ยว
ทำหน้าหงิกยังกะอะไรดี”
“ไม่รู้เขา คงคิดว่าเรานัดกันประจำมั้ง
เค้าไม่ค่อยยุ่งกะเรื่องอย่างงี้เท่าไหร่ว่ะ”
“เฮ้ย งั้นเอ็งไปแต่งงานกะเขาทำไมว่ะ ต่างฝ่ายต่างไม่สนกันหยังงี้อ่ะ
ข้าว่าสงสารเด็กมันนา”
“เด็กไร เรียนจบแล้ว” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
“เอ่อนั่นแหละ ถ้าเทียบกับเรา เขาก็ยังเด็ก
เอ็งคิดมั่งเปล่าว่าไปตัดอนาคตเด็กมัน
เขาอาจอยากไป
เรียนต่อก็ได้นะเว้ย” ไอ้ทีเริ่มกรึ่ม
จึงพูดออกมาตรงๆ
“ข้าว่าไม่นะ เห็นอยู่เฉยๆไปวันๆ คงไม่คิดอะไรหรอกมั้ง”
ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเพื่อน ทั้งที่ตัวผมก็มักทบทวนกับตัวเองบ่อยๆ
นี่เราทำอะไรอยู่ ผมเอาแต่ใจ
ตัวเองเกินไปรึเปล่าที่ดึงเธอไว้ด้วยกันแบบนี้
ผมแย่งอนาคต
กักขังความฝันของเธอไว้ไหม เธอเพิ่ง
ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เธออาจต้องการตามหาฝัน
อย่างที่เธอขอเวลาผมไว้ 3 ปี นั้น
เฮ้อ นี่เราทำบ้าไรอยู่ฟร่ะ.... คืนนั้นผมนั่งกรอกเหล้าเป็นเพื่อนไอ้ที
และมันก็นั่งเหล่สาวแทนผมจนดึก
“เฮ้ย บ้านนี้มีใครอยู่มั่ง มาช่วยกันหน่อยโว้ย
มาลากไอ้แจ๊คช่วยหน่อย”
“ขา มาแล้วๆค่า”
“ยังไม่นอนเหรอครับ นักกี้ รอหมอนี่ล่ะสิ
โทษนะ คืนนี้ดึกไปหน่อย
พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก นายนี่มันไม่
ยอมกลับน่ะ ผมเลยต้องนั่งเป็นเพื่อนมัน
แต่วางใจได้ ไม่มีเรื่องผู้หญิง
มีแต่เหล้าเพียวๆจ๊ะ” ... จริง
อ๊ะ
“เอิ้ก เอาเหล้ามาอีกกก น้องเติมๆ”
“เติมไรเล่า ถึงบ้านแล้ว ไอ่บ้า (ไม่ต้องมาแกล้งเมาอ้อนเมียเลยนะเอ็ง)
ไปนะ
นักกี้”
“ขอบคุณพี่ทีค่ะ ทิ้งไว้ตรงโซฟานี่ล่ะ
เดี๋ยวกี้ให้เด็กมาลากคอไปเองค่ะ”
ชะอุย ลากคอเลยรึ นายทีนึกในใจ
“เฮียจัก เดินดีดีสิ ฮู้ย เมาแล้วยังมาเดือดร้อนชาวบ้านอีก
สำนึกไหมเนี่ย”
นักกี้พยายามลากคอผมขึ้น
ข้างบน
“อืมมมมม นักกี้ เด็กน้อยยยยยย ลูกแมวน้อยของพี่”
มือผมเริ่มเหมือนปลาหมึก พอถึงเตียงเธอโยนผมลง
“เมาหนักเลยแฮะ ทุกทีเห็นกินพอเป็นกระสัยไม่ใช่
เฮียจัก กี้ไม่อยากยุ่งหรอกนะ
เพราะถือว่าเป็น
เรื่องส่วนตัว แต่นี่กินแบบไม่รู้ขีดจำกัดตัวเองแบบนี้
ไง อกหักรึไง”
ว่าพลาง ก็เลื่อนมือเช็ดตัวไปพลาง
“เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด พวกขี้เมา”
“รังเกียจนักก็ไม่ต้องมายุ่ง” ผมว่าพลางปัดมือเธอออก
“ไรว้า คนจะเช็ดหน้าให้ เอ่อ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง
ผ้าอยู่นี่นะ ทำเองแล้วกัน”
“แล้วนั่นจะไปไหน ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน”
ผมเลิกแกล้งเมา แล้วถามเธอขึ้น
“เล่นคอมค่า มีอะไรไหมค๊า”
จะเพราะท่าทางของเธอที่นั่งพิมพ์ไปยิ้มไป
บางครั้งก็หัวเราะคนเดียว
ผมสงสัยจึงเดินไปหาเธอที่หน้า
คอม
เธอกำลังเล่น msnอยู่ มีหน้าต่างโผล่ซ้อนกันหลายอัน
และคนที่เธอพูดด้วยตอนนี้ก็ใช้คำว่า ครับอยู่
ท่า
ทางมีความสุขจริงนะ
“ใครอ่ะ” ผมถามขึ้นลอยๆ ยืนมองอยู่หลังเธอ
“เพื่อนน่ะ อยู่ต่างจังหวัด”
“รู้จักกันได้ไง”
“เฮ้อ เฮียจักเป็นไรอ่ะ วันนี้มาแปลก ทุกทีไม่เห็นยุ่งเลย
เมาหนักแฮะ
ไปนอนป่ะเฮีย”
“ถามว่ารู้จักกันได้ไง” ผมเริ่มเสียงเข้ม
“ก็ทางเอ็มนี่ไง”
“นานยัง”
“สองปีกว่า ไมเหรอ ถามอีกม่ะมันอายุเท่าไหร่
พ่อแม่ทำงานอะไร ห๊า”
เธอหันไปจดจ่อกับหน้าจอโดยไม่สนใจผม และตอบคำถามแบบขอไปที
“ไว้ใจได้เหรอ เขาอาจหลอกเราอยู่ก็ได้นะ
ยิ่งพวกผู้ชายทางอินเตอร์เนตน่ะ
ยิ่งไว้ใจไม่ได้รู้ไหม”
“ยุ่งไรอ่ะ ก็บอกแล้วไง ว่ารู้จักกันนานแล้ว
นานกว่ารู้จักกับเฮียจักอีก
เข้าใจ๊ ”
พรึบ!!!!!!
ผมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ออกทันที โมโหวุ้ย
ไอ้เจ้าหนุ่มนั่นสำคัญกว่าเรางั้นเหรอ
ฮึ่ม!!!
“ทำไรอ่ะ ทำไรงั้นอ่ะ เฮียจักบ้าที่สุด
ขี้เกียจต่อเนตใหม่นะ เมาป่วนอ่ะ”
“หิวข้าว หาไรให้กินหน่อยสิ”
“ก็ลงไปดูในตู้เย็นดิ๊”
“ไม่เอา ทอดไข่ให้หน่อย”
“ทำไม่เป็น รอเดี๋ยวล่ะกัน ดูตู้เย็นให้
มีไรเหลือมั้ย”
ระหว่างที่เธอหาของกินในตู้เย็นให้ผมนั้น
ไม่รู้ผีที่ไหนมาเจาะปากให้ผมถามเธอออกไป
“กี้ รักเฮียจักไหม”
กึก
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ เหมือนเวลาหยุดหมุน
“ว่าไง รักพี่บ้างไหม”
“ถ้าตอบว่า “ไม่” เฮียจักจะโกธรไหม”
ผมกลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงไปในคอ หันหลังจะกลับขึ้นไปนอน
“นั่นสินะ พี่คงเอาเปรียบเราเกินไป ที่แย่งอนาคตเรามา
แยกเราจากเพื่อน
จากความฝันของเรา”
“เฮียจัก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ผมหันมายกมือห้าม
และเดินต่อไป
“ไม่ต้องพูดหรอก อดทนหน่อยนะ ไว้เช้าเมื่อไหร่
เราไปหย่ากัน
พี่จะคืนอิสระให้กี้ เราจะได้ไม่ต้อง
มาทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักอีกต่อไป”
“จะบ้าเหรอ อย่าทำเป็นงอนไปหน่อยน่า ฟังก่อนได้ไหม”
ผมหันมามองเธอ อย่างอดทน พยายามนับหนึ่งถึงร้อย
“ฟังนะเฮียจัก ทำเลือดร้อนที่โดนแอลกอฮอลเผาให้มันเย็นๆลงหน่อย
แล้วฟังนี่”
“กี้รู้ตัวเสมอว่า ทำอะไรอยู่ ถึงแม้่การที่เราแต่งงานกัน
มันจะไม่ได้เริ่มจากความรักและความเต็มใจ
ของทั้งสองฝ่าย แต่...แต่กี้ก็ชอบเฮียจักมาก
เฮียจักเป็นผู้ชายที่ดีคนนึงที่กี้รู้ว่า
สักวันกี้จะรักเฮียได้”
“แต่เราก็ไม่ได้รักพี่หนิ”
แล้วผมหันหลังเดินออกไป เธอรีบวิ่งตาม
มาขวางหน้าไว้
“ปั๊ดโธ่โว้ยยยย!!!!!! อย่าทำตัวเป็นเด็กน่า
ฟังให้จบก่อนสิ”
“มีอะไรอีก ง่วงจะนอน” ผมทนฟังต่อไปไม่ได้
เดินไปถึงเตียง
ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เธอ
“เออนอนฟังไปล่ะกัน จะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”
“ก่อนจะเจอกับเฮียจัก กี้ก็โดนจับคู่มาเยอะ
แต่กี้ก็หนีมาตลอดและในที่สุดแด้ดมัมก็เลิกล้มไป
แต่พอมาเคส
เฮียจัก มันผิดไปหมด กี้คิดว่าจะลองไปพบดู
แล้วจะป่วนให้อีกฝ่ายรำคาญและไม่ชอบหน้า
จนเลิกไปเอง
แต่มันกลับไม่ใช่”
"พอเห็นหน้าเฮีย กี้คิดว่า คนหล่อๆ มีพร้อมทุกอย่าง
อย่างเฮียจัก
ต้องไม่มองเด็กกะโปโลแบบกี้แน่ เลย
เล่นอะไรบ้าๆไป แต่เรื่องมันกลับตรงข้าม
เฮียเกิดตกลง ซึ่งมันบ้า บ้ามากๆด้วย
มีแต่คนสิ้นคิดเท่านั้น ที่
คิดจะมีแฟนแบบกี้”
งั้นผมก็เป็นพวกสิ้นคิดที่สุดในโลกใช่ไหมเนี่ย...
“แล้วเฮียจักก็เริ่มสร้างความประทับใจให้กี้ทีละน้อย
เฮียจักก้าวเข้ามาทำความรู้จักกับกี้แบบที่ไม่เคยมี
ใครคิดจะทำ
ยอมไปไหนไปกัน จำตอนที่เราไปหลงป่าเมืองกาญฯได้ไหม
กี้รู้สึกปลอดภัย
อุ่นใจเมื่อมีเฮียอยู่ใกล้ แม้จะ
ไม่แน่ใจว่าจะออกป่าไปได้ไหม พอรอดมาได้
กี้ก็บอกตัวเองว่าคนนี้แหละที่เราหามานาน
คนที่จะเป็นหลัก
ให้ชีวิตเราต่อจากนี้
มันก็จริงที่กี้ไม่ได้รักเฮียแต่แรกพบ
มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รัก เพราะ...เพราะ
เอ่อ เพราะกี้ไม่รู้จักว่า
"รัก" มันเป็นยังไง กี้ไม่เคยมีแฟน
และไม่คิดจะรักใคร ชีวิตกี้มีพร้อมทุกอย่าง
กี้เลยไม่อยากใช้คำว่า
“รัก” กับเฮียจัก"
“แต่เฮียเป็นมากกว่านั้นค่ะ เฮียทำให้
กี้เคารพ นับถือ ศรัทธา ชื่นชมและเอ่อ
เอ่อ ชอบเฮียมาก ...
กี้คิดว่า มันน่าจะเกินนิยามคำว่า รัก
ไปแล้วนะ
เพราะรักแบบหนุ่มสาวคืออะไรกี้ก็ตอบไม่ได้
และไม่
อยากสนใจมันด้วย"
"กี้บอกได้แค่ว่า เฮียจักจะเป็นอีกครึ่งชีวิตของกี้ค่ะ"
“เราเพิ่งเริ่มต้นกันเท่านั้นนะคะ และ
.... และกี้ก็คิดว่า
เฮียก็คงไม่สนเด็กอย่างกี้เท่าไหร่ ไม่เข้า
ใจว่าทำไมอยู่ๆถึงถามคำถามงี่เง่าแบบนี้ได้
ตลอดเวลากี้พยายามทำตัวเหมือนน้องสาว
สร้างปัญหาให้
น้อยที่สุด ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเฮีย
เพราะกลัวเฮียรำคาญและเบื่อ
กลัวจะไม่ได้อยู่กับเฮียอีก ...”
“เฮียจักหลับแล้วเหรอ”
เงียบ
อึ้งครับ ผมกำลังซึมซับคำพูดของเธอไว้ในหัวใจที่แห้งผากมาตั้งแต่ตอนเย็น
จากคำพูดบ้าๆ ของไอ้ที
ผมมันคิดมาก บ้าไปเองจริงๆ การกระทำต่างหากที่สำคัญ
การที่เราได้อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ
สำคัญ
กว่าแค่คำที่เธอจะพูดว่า รัก หรือ ไม่รัก
ผมนี่มันตาแก่คิดชะมัด
ผมหันกลับไปเพื่อจะบอกเธอว่า ผมไม่ได้คิดกับเธอแบบนั้นสักนิด
ผมไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นน้อง
แต่ช้าไป เธอเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมได้ยินเสียงฝักบัวเปิด
ก็เธออาบน้ำแล้วหนิ
อยู่ในชุดนอน แล้วจะ
อาบน้ำอีกทำไม
สักพักเธอก็ออกมา แล้วบอกผม
“เฮียจักอาบน้ำซะนะ เปิดน้ำไว้ให้แล้ว”
เธอก้มหน้าพูด น้ำเสียงเธอปลกไป เหมือน
.... มันเหมือนคนคัดจมูก
ผมรีบลุกตามเธอไปที่เครื่อง
คอม จับมือเธอก่อนที่เสียบปลั๊กคอมอีกครั้ง
“กี้ เฮียจักขอโทษ”
เธอพยักหน้าเบาๆ แกะมืออกจากผมไปเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์
แล้วกดเปิดเครื่อง
ผมสังเกตว่า ตาเธอแดงก่ำ จมูกแดงด้วย ใช่เลย
อาการอย่างงี้
“ร้องไห้ทำไมครับคนดี”
เธอส่ายหน้าช้า แล้วนั่งเก้าอี้ รอให้เครื่องรันเสร็จ
หันหน้าไปอีกทาง
“เฮียจักขอโทษนะครับ น๊า ยกโทษให้กันนะคร้าบ
เฮียจะไม่ปากหมาอีกแล้วนะคร้าบ”
เธอแอบยิ้มนิดนึง แต่ก็ทำหน้าเฉยต่อ
“นะคร้าบ หันมาคุยกันดีดีนะคร้าบ เฮียขอโทษนะ
เกิดมาเฮียไม่เคยง้อผู้หญิงเลยนา
อายน่า หันมาเหอะ

ยังอีก งั้นต้องใช้ไม้นี้
“เพื่อเป็นการไถ่โทษ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวทะเลกัน
เฮียจะพาไปเล่นเครื่องร่อนด้วย
ได้ไหมครับ”
ได้ผล!!!
“ไปดำน้ำแบบสน้อกเกิ้ลด้วยน๊า แล้วก็ต้องสอนกี้ขี่เจทสกีด้วย”
“ตกลงครับ”
“เย้ๆ”
ฮึฮึ ดูท่าคงลืมไปแล้วว่าเธอกำลังงอนผมอยู่
และเมื่อรู้ความจริงในใจแล้วแบบนี้
ผมจะขอฉีกสัญญาทิ้งล่ะ
นะ นักกี้ ฮึฮึ ทำตัวเป็นเสือจำศีลมานานแระ
ฮึฮึฮึ
“กี้”
“หืม”
“นอนกัน”
“ไม่อ่ะ เฮียจักนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวปิดเครื่องแล้วตามไป”
“ไม่เอาอ่ะ นอนคนเดียวกลัวผี ปล่อยเครื่องมันไว้งี้แหละ”
ผมลุกขึ้นยืน แล้วก้มลงอุ้มเธอไปที่เตียง
“เฮีย ทำไร เดินเองได้ ปล่อยน่า จั๊กจี้”
เงียบ เฮ้ย แววตาแบบนี้นี่มัน ฮ่าๆ ตายแน่แล้วตรู
“เฮ่ยยยย ไม่เอาน๊าเฮีย ไหนบอกจะรักษาสัญญาไง”
“สัญญาไรเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย นอนเถอะ”
ผมวางเธอลงบนเตียง แล้วเดินไปปิดไฟ
“เฮ้ย ปิดไฟทำไม กี้กลัวความมืด”
เงียบ....... แล้วที่นอนข้างตัวก็เริ่มยุบ
เธอเริ่มเขยิบตัวหนี แต่ช้าไปแล้วหนู เสือจะขย่ำเหยื่อ
มีรึจะปล่อยให้หลุดมือไปด้ายยยยยยยย
.....
..
.
ผมเพิ่งรู้นะ ว่าการผิดสัญญามันดีอย่างนี้นี่เอง
น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว
รู้ม่ะผมไม่รู้สึกผิดสักนิดเลย อิอิ
กับความรู้สึกที่ผมไม่ได้พบมานาน เสือผู้หญิงอย่างผมที่ไม่คิดจะได้เจอ
นักกี้บริสุทธิ์ เหมือนน้ำค้างยาม
เช้า เธอเหมือนผ้าขาว ที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย
และความแปลกใจนั้น กลับกลายเป็นความภูมิใจ
รู้สึกเป็นเจ้าของ
และหวงเธอขึ้นมาทันที ผมหวงแม้
กระทั่งกับตัวผมเอง เธอดูบอบบาง น่าทะนุถนอม
จนผมต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“กี้ โกธรเฮียไหม”
“คนผิดคำพูด ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
เสียงอู้อี้ดังลอดผ้าห่มออกมาจากอกผม
หึหึหึ ผมหัวเราะกับตัวเอง
“ปากดีแบบนี้ ต้องโดนอีกรอบ”
ผมจู่โจมเธอโดยไม่ให้ทันตั้งตัวอีกครั้ง
รู้สึกเจ็บรอยหยิกที่ไหล่จากมือน้อยๆ
แต่แค่นี้.....เด็กๆ ใครจะ
ว่าปล้ำเมียตัวเองก็ยอมล่ะ .......
สวัสดีครับ ผมชื่อแจ๊คครับ ผมมีภรรยาอย่างแท้จริงมาสองเดือนแล้วครับ
ชีวิตผมเหมือนเปลี่ยนจากหน้า
มือกับหลังมือครับ ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของผมกับนักกี้ไม่เหมือนเดิม
เธอไม่เป็นกันเองเหมือนเคย
ผมว่า เธออายผมครับ และมันทำให้ผมรู้อีกอย่างว่า
จากภายนอกที่ดูซ่าส์ๆนั้นแล้ว
เวลาอยู่ต่อหน้าคนที่
ชอบเธอจะอายมาก แต่การอายของเธอแปลกครับ
เธออายแบบ ไม่สนใจคนที่เธออาย
เธอไม่พูด ไม่คุย
แบบกวนอีก จะเรียบร้อย จะค่ะ จะขา ซึ่งมันก็ดีน่ะนะ
แต่ผมอยากได้นักกี้คนเดิมกลับมาจัง แต่สิ่งหนึ่ง
เปลี่ยนไปคือแววตาครับ ผมเริ่มเรียนรู้ที่อ่านสายตาของเธอออก
เธอไม่พูดมากเหมือนเคย ไม่ขี้โมโห
แต่ยังคงความซุ่มซ่ามและเอ๋อไว้เหมือนเดิม
และผมก็ชอบให้เธอมองผมมากกว่าพูดแล้วล่ะ
เพราะ
เหมือนเธอกำลังบอกรักผมอยู่น่ะสิ
จนวันนึง ขณะที่ผมกำลังประชุมอยู่
ปึง
เสียงเท้าถีบประตูห้องประชุมดังสนั่น
ทุกคนในห้องตกใจ หันไปทางต้นเสียง
“คุณกี้คะ เข้าไม่ได้นะคะ ท่านกำลังประชุมอยู่ค่ะ
คุณกี้ เอ่อ ขอประทานโทษค่ะ
ดิฉันเตือนเธอแล้ว แต่”
“ไม่เป็นไร คุณมล ขอบคุณครับ ทุกคน เชิญคอฟฟี่เบรค
5 นาทีครับ”
“กี้มีอะไรรึเปล่า เฮียจักกำลังประชุมนะครับ”
กระซิกๆ อะฮื่อๆๆๆๆๆๆ เธอเริ่มร้องไห้
“เฮียจักคนบ้า ง่า บ้าที่สุดเลยอ่า ฮื่อออออ”
“กี้ เป็นไร เฮ้ย ทำหน้าบึ้ง อยู่ดีดีก็ร้องไห้
มานี่ๆ”
ผมพาเธอเข้ามาคุยในห้องทำงานส่วนตัว
“อื่ออออออออออ”
“เป็นไรครับ ฮึ บอกเฮียจักสิ ใครแกล้งไร
โอ๋ๆ เงียบก่อนนา” ผมดึงเธอมาซบกับอก
ลูบหัวพลาง
ปลอบ
แล้วเธอก็ชี้มาที่ผม
“เฮ้ยกี้ เฮียไปแกล้งอะไร อ๋อ เรื่องเมื่อคืนกะตอนเช้าอ่ะเหรอ
เฮียว่าไม่ได้ทำไรรุนแรงนา”
“บ้าดิ ไม่ใช่เรื่องนั้น เฒ่าลามก!!!”
เอ๋า โดนเมียด่าอีก แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้ต่อ
“เฮียจักทำให้กี้ไปปีนหน้าผา ไปล่องแก่ง
ไปขึ้นภูไม่ได้อีกแล้ว ใจร้าย
คนใจร้ายที่สุด บาบาบาๆๆๆ
....”
หลังจากที่เธอพูดๆๆๆๆๆๆๆๆ จนเหนื่อย แล้วตบท้ายด้วยการส่งหมัด
ชกผมเข้าเต็มแรง
แล้วหันหลังเดิน
ออไป ทิ้งผมไว้กับความเจ็บและงง
มารู้ก็ตอนถึงบ้านแล้ว พ่อแม่ทั้งฝ่ายผมและเธอ
อยู่กันเต็มบ้าน
วิ่งวุ่นกันไปหมด
“แจ๊ค เก่งมากเลยลูกแม่ ถึงจะช้าไปบ้าง
แต่ในที่สุด โฮะๆ”
“พ่อแจ๊ค ขอบใจนะลูก หลานคนแรก แม่ขอผู้ชายนะลูก”
“เดี๋ยวก่อนครับ นี่มันอะไรกัน ผมงงหมดแล้ว”
และคำพูดเมื่อตอนกลางวันของนักกี้ก็วิ่งเข้าในสมองผม
“เฮ่ย”
“จริงเหรอครับ”
“จ๊ะ สองเดือนแระ” แม่ผมตอบตาเป็นประกายใสปิ๊งเชียว
“วะฮู้ จะได้เป็นพ่อคนละโว้ยยยยยยยยยย”
ผมตะโกนออกไปอย่างไม่อายทุกคน
ทั้งที่ปกติผมเป็นคนเก็บ
อารมณ์นะ
ชีวิตผมนับว่าเริ่มเปลี่ยนแปลงนับแต่วันที่ได้เจอเธอ
และจนถึงวันนี้
เจ็ดปีแล้ว ที่ผมและเธอ
เดินร่วมทางกันมา และมันทำให้ผมยิ่งรักเธอมากขึ้นมากขึ้น
การเดินทางของเรา มีทั้งสุขและทุกข์
เราก็ยังเป็นเพื่อน เหมือนพี่น้อง
และเหมือนคู่รักที่ตามหา
กันมานานหลายภพ การที่เดินไปบนทางอันแสนไกล
แล้วมีมือน้อยนุ่มนิ่มให้จับไว้
ช่างเป็นสิ่งที่ดี ดีมากๆ
สำหรับผู้ชายคนนึง
“พ่อครับ พ่อ แย่แล้วครับ”
เสียงเจ้าลูกชายตัวยุ่ง วิ่ง หอบ เข้ามาในห้องทำงานผมที่บริษัท
“แม่หายตัวไปอีกแล้วคร้าบ”
“อ่าว ไม่อยู่บ้านย่าเหรอลูก”
เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้า แล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม
เขียนว่า “ภูกระดึง”
ผมอ่านประโยคนั้น แล้วอมยิ้ม
“เจอรี่ คืนนี้นอนกับย่านะครับ เด็กดีอย่าดื้อล่ะ
คุณมล
ผมฝากส่งลูกกลับบ้านด้วย แล้วก็ยกเลิกนัดทุกอย่าง
ของวันนี้ และอีก 2 วันด้วยนะ”
“แล้วเจ้านายจะไปไหนล่ะค่ะ”
“ Honeymoon “

Sorry. I'm sorry. Really sorry.

นานๆ ทีจะเห็นเว็บบอร์ดมีเรื่องแบบนี้

และอีกนั่นแหละ นานๆ ทีจะเห็นคุณนิติภูมิ พูดแบบนี้

Sunday, January 01, 2006

บทความเรื่อง ในพระปรมาภิไธยฯ

อยากอ่านแต่ว่าง่วงแล้ว ท่าทางจะน่าสนใจ กลับมาอ่านนะอย่าลืม