Friday, March 28, 2014

ไปเชียงใหม่ ธ.ค.2555 (วันที่ 5 วันสุดท้าย ซะที)

ตื่นเช้ามาหิวมาก เก็บของลงไปคืนกุญแจพร้อมรับเงินค่ามัดจำกุญแจห้องคืน รีบบึ่งออกไปหาไรกินก่อน ไม่กลับไปกินโจ๊กพยอม หรือศรีพิงค์เมื่อวานแล้วนะ เพราะคิดว่างั้นๆ เคยได้ยินชื่อเสียงของ โจ๊กสมเพขร มาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้เลยตัดสินใจไปกินโจ๊กสมเพชรครับ

มาเชียงใหม่หลายวันอย่างที่บอกคือเริ่มวาดผังเมืองในหัวออก มีสี่เหลี่ยมกลางเมือง มีถนนห้วยแก้วเฉียงๆทางซ้าย และแม่น้ำปิงทางขวา อาเขตอยู่ข้ามแม่น้ำปิงไป
ถึงจะหิวข้าวแค่ไหนแต่เรื่องกลับบ้านต้องมาก่อน ซื้อนมเซเว่นกินแล้วขี่มอไซด์ไปอาเขตก่อน คราวนี้ไม่ยากเท่าไร เพราะเริ่มรู้ทางแล้ว วนไปด้านประตูท่าแพ แล้วข้ามสะพานนวรัฐไปตรงๆ เลย ได้รถรอบบ่าย3 โมง ของยี่ห้ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว น่าจะวิริยะ หรือ เชิดชัยทัวร์ ยังไงนี่ล่ะ คือกะว่าต้องช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ และ ทันส่งรถมอไซด์คืนแล้วออกจากแถวกาดสวนแก้วกลับมาอาเขตทันนะ โอเค ได้ตํ่วละ ไปหาอะไรกินได้ ขี่กลับอย่างไกลไปที่ โจ๊กสมเพชร ตามเดิม
ป้ายที่ร้านโจ๊กสมเพชร เราสามารถใช้ข้ออ้างแบบนี้กับลูกค้าได้หรือไม่

โจ๊กสิครับ

โจ๊กสมเพชร อยู่บริเวณเลยตลาดสมเพชรมาหน่อย เป็น มุมของสี่เหลี่ยมด้านขวาบน ใกล้แจ่งศรีภูมิ สายแล้วคนไม่ค่อยเยอะเท่าไร มีอาหารหลายอย่าง โจ๊ก ข้าวหน้าหมู ก๋วยเตี๋ยว เราสั่งโจ๊กตามชื่อเสียงที่ได้ยินมา กินแค่อย่างเดียวเพราะกะว่าถ้าจะกลับวันนี้ยังมีของที่กะว่าจะกินแต่ยังไม่ได้กินอีกหลายอย่าง เช่น ข้าวซอย เป็นต้น ออกจากโจ๊กสมเพชรแล้ว ก็สายแล้ว แวะไปหาญาติอีกคนนึงที่เปิดร้านขายยาอยู่ที่ตลาดสมเพชรนี้เอง ทักทายกันพอประมาณ เขาบอกว่าจะฝากลาบเหนือกลับไปให้กิน เราบอกว่าไม่ได้ขับรถมานะ ขึ้นรถทัวร์มา เดี๋ยวจะเน่าหมดนะ ตกลงเลยไม่ฝากไปละ รอญาติอีกคณะที่จะมาเที่ยวตอนปีใหม่ มาเอาไปแทน
ร้านยาของญาติที่ตลาดสมเพชร

ออกจากร้านเขาแล้วก็ไปไหนต่อดีนะ ใจก็คิดว่าควรจะไปหาข้าวซอยอร่อยๆ กินเหมือนเขาบอกว่ามีร้านชื่อ ลำดวนฟ้าฮ่าม เอ..อยู่แถววัดเจดีย์หลวง หรือไงนี่ล่ะ ลองขี่ไปดูก่อน แต่แล้ว ก็มาสะดุดลงที่ หอศิลปะวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ (ศาลากลางหลังเก่า) หลังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ที่เมื่อวานเพิ่งมาเดิน ถนนคนเดินไป เห็นป้ายเขียนว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองเชียงใหม่ อืม น่าสนใจแฮะ เลยจอดรถแล้วเข้าไปดูเลย เราจอดด้านหลังแล้วเดินเข้าทางของเจ้าหน้าที่มา ซึ่งจริงๆ จะไม่ซื้อตั๋วก้ได้ แต่เดินมาถึงข้างหน้าแล้วก็จัดการซื้อตั๋วหน่อย ในพิพิธภัณฑ์วันนี้มีเด็กๆประถมมาดูงานด้วย เราก็เดินตามเด็กๆ ไปรอฟังเจ้าหน้าที่เขาอธิบาย ความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ ในอาคารแรกนั้นเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ล้านนาล้วนๆ เจ้าผู้ครองนคร การรบกับพม่า บุคคลสำคัญต่างๆ จะเน้นมากคือ เจ้าดารารัศมี ชายาในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้ซึ่งนำพาความเจริญต่างๆมาสู่เชียงใหม่ เดินดูจึงได้รู้หลายอย่าง เช่น

- วัฒนธรรมการสร้างเมือง การมีประตูเมืองหลายด้าน บางด้านกำหนดไว้ให้เป็นช่องทางผ่านของคนตายเท่านั้น
- เชียงใหม่เคยถูกทิ้งร้างหลายสิบปี หลังจากสงครามกับพม่า ผู้คนย้ายไปอยู่ลำปางแทน
- การเป็นหัวเมืองทางเหนือของล้านนาทำให้มีแต่คนต้องการ สยาม พม่า ล้านช้าง ยุ่งไปหมด
- มีการกล่าวถึงการรบในสมัยพระไชยราชาธิราชที่เราเห็น มหาเทวีจิรประภา (เพ็ญพักตร์) แต่งเครื่องทรงออกมาต้อนรับด้วย



มีอีกเยอะ แต่ตอนนี้นึกออกเท่านี้ มันนานมาแล้ว แนะนำเลยสำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์ ไปดูแล้วจะได้ความรู้มาก เทคนิคการจัดแสดงก็ค่อนข้างดี มีอุปกรณ์ให้จับ ยก กดปุ่ม มีเสียง วีดีโอ อะไรเต็มไปหมด เป็นห้องติดแอร์เดินดูได้สบายๆ เราเข้าใจว่าเขาไม่ให้ถ่ายรูปนะ ก็เลยไม่ค่อยได้เก็บภาพอะไรออกมาให้มากนัก เดินดูจนเลยเที่ยงไปแล้วจึงออกมา พบกับอาคารด้านหลังอีกหน่อยนึง อันนี้สิเจ๋งจริง หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่
(เราซื้อตั๋วแบบเหมา 3 ที่ หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ในราคาถูกมาก ดูในเว็บนี้นะครับ http://www.cmocity.com/)

ตอนแรกกะจะไปกินข้าวก่อน แต่คิดว่าช่างเหอะเดินๆไปให้เสร็จเลยแล้วค่อยไปกินข้างๆ รั้วนี่ก็ได้ โอเค เดินเข้าส่วนหอประวัติศาสตร์แล้ว มีนักศึกษา2-3 คนมาต้อนรับ และอาสาจะพาเราชม อืมแปลกดีนะ เขาพาเข้าไปในอาคารจะมีส่วนการแสดงประวัติความเป็นมาเฉพาะของเมืองเชียงใหม่ในแง่ของการค้า ความเจริญของเมือง ตั้งแต่สมัยลานนา สมัยยุคล่าอนานิคม ยุคที่มีอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามา มีการสร้างสะพานนวรัฐ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง เป็นต้น ส่วนนี้ น้องนักศึกษาบรรยายได้ดีมาก และเราก็เป็นผู้ชมที่เกรียนมากเหมือนกัน แต่ละคำถามที่ถามเขาตอบยากมาก แต่น้องเขาก็พยายามตอบจนได้ เช่น

- ถ้าสยามไม่ยกทัพมาช่วยเชียงใหม่ ทุกวันนี้เชียงใหม่จะเป็นยังไง ...... น้องตอบว่า ตอนนี้พวกเราคงอยู่ในประเทศพม่าค่ะ

- งั้นคนเชียงใหม่เสียใจไหม โกรธไหม ที่จริงๆ นี่เป็นอาณาจักรลานนาแท้ๆ สยามมาเอาไปได้ไง ..... ไม่น่าจะโกรธนะคะ เพราะก็เห็นว่านำความเจริญมาให้หลายอย่างค่ะ

- แล้วเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าครองนครเชียงใหม่คนสุดท้าย เขารู้สึกผิดไหมที่รักษาเมืองตามที่บรรพบุรุษสร้างมาไว้ไม่ได้ ..... ไม่ค่ะ ทุกคนยังเคารพอยู ทุกวันนี้ก็ยังมีบ้านเจ้านายฝ่ายเหนือเลยค่ะ

- คนเชียงใหม่รัก เจ้าดารารัศมี ไหม ..... มากๆ ค่ะ เพราะพระองค์ทรงทำงานเพื่อจังหวัดหลายอย่างค่ะ

- ทำไมสะพานวรัฐในรูปนี้มีเหล็กโค้งๆ แล้วของจริงวันนี้ไม่มีแล้วล่ะ .... อันนี้หนูเเกิดไม่ทัน แต่เขาย้ายส่วนนึงไปไว้ที่ปาย และอีกส่วนเอาไปสร้างสะพานเหล็กข้างๆกันค่ะ

อีกสาระพัดคำถามจากเจ้าหนูจำไม ซึ่งน้องเขาก็ไม่มีทีท่าเบื่อหน่ายและคุยได้สนุกมากๆ จนลืมเวลาไปเลย จนเดินออกนอกอาคารแล้ว น้องบอกว่าอย่าเพิ่งไปค่ะ หนูยังไม่ได้โชว์ของเด็ดของดีให้ดูเลย ... ห๊ะ อะไรของหนู ... บริเวณที่พี่ยืนอยู่นี้ ตอนแรกไม่ได้เป็นแบบนี้นะคะ ตอนแรกจะทำการปรับพื้นที่กันเฉยๆ แต่พอขุดลงไปแล้วเราเจอของดีค่ะ เดี๋ยวหนูพาพี่ไปดู มันอยู่ใต้ดินค่ะ น้องพาเราเดินลงไปใต้ดินของอาคารที่ทำเป็นส่วนจัดแสดง น้องบอกว่า พื้นที่นี้จริงๆ เขาว่าเป็นสะดือเมือง มีเสาอินทขีล หรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ แต่ไม่มีใครเคยเจอหลักฐานจริงๆเลยค่ะ จนกระทั่งมีการขุดลงมา เราเจอซากกำแพง จนเราค่อยๆ ขุดไล่ตามขอบไปเรื่อย และเราก็ได้ ขอบฐานกำแพงเก่าขึ้นมาค่ะ

พลันก็มาถึงห้องจัดแสดง ที่เป็นเหมือนสถานที่ขุดค้นด้วยในที เพราะยังมีน้ำซึมเข้ามา มีตาน้ำ มีระบบระบายอากาศ และเห็นซากกำแพงศิลาแลง อยู่ในเนื้อดินสูงขึ้นมาประมาณฟุตนึงเห็นจะได้ ลากยาวทั้งสองข้างของตัวอาคาร (อธิบายยาก ต้องไปดูเองนะ) เราถึงกับว้าว เลยว่า โคตรฟลุ้คเลยใช่ไหมที่มาเจอซากกำแพงเนี่ย ... ใช่ค่ะ ฟลุ้คมาก มีด้านซ้าย กับ ด้านขวานะคะ ตอนนี้ขุดได้เท่านี้ก่อน ค่อยๆ หาค่ะ ... น้องพาเดินชมทั้งสองด้าน (คิดว่าถ่ายรูปมานะ แต่ว่าหาไม่เจอแฮะ) เรียบร้อยแล้วก็ออกมาด้านบน

เราชมน้องว่านำชมได้เก่งมากๆ เลย ผมประทับใจมาก หากมาเชียงใหม่ครั้งหน้าหรือมีใครจะมาเที่ยวพี่จะแนะนำให้มาที่นี่เลย แล้วก็ร่ำลากันไปครับ

ออกมาคราวนี้หิวล่ะสิ อ้อมข้างๆ รั้วไปกินละ ร้านไหนก็ได้ มีข้าวมันไก่ เกียรติโอชา กับ ร้านข้าวซอย ก็กินมันนี่ล่ะ จริงๆ ก็คนเยอะดี แต่ดูแล้วเป็นร้านสำหรับดักนักท่องเที่ยวมากกว่า รสชาติก็กลางๆ ไม่ได้หวือหวาแต่อย่างใด

ดูนาฬิกามันบ่ายกว่าแล้วนะ ควรจะไปจัดการเรื่องกระเป่าและที่พัก ของฝากอะไรๆ ได้แล้วนะ แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อวานว่าจะไปดูร้านไซเรียงแล้วไม่ได้ไปนี่นา แวะไปดูแป้บนึงดีกว่า รีบขี่มอไซด์ไปร้าน ไซเรียง อุดมผล โดยพลัน

ร้านอุดมผล (ไซเรียง) เป็นร้านขายหนังสือเครื่องเขียนที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย และ ใจกลางเกาะเมืองที่สุด ร้านตกแต่งแบบโบราณด้านนอกเป็นอิฐสีส้มน้ำตาลทั้งหมด มีลานจอดรถด้านหลัง ประตูทางเข้าเล็กๆ มีโปสเตอร์แปะเต็ม ด้านในมี4ชั้นมั้งถ้าจำไม่ผิดนะ ชั้น1-2 ขายหนังสือ ทั้งหนังสือเรียน หนังสืออ่านเล่นต่างๆ ตรงกลางพื้นบุ่มลงไปเป็นบ่อ สำหรับวางโชวืหนังสือแนะนำ โปรโมชั่นต่างๆ ทางขึ้นชั้น2-3-4 อยู่ตรงกลางที่เป็นโถงโล่งไปจนถึงเพดาน บันไดขึ้นแยกกันขวาซ้าย ชั้น 3 เป็นเครื่องเขียน ชั้น 4 เป็นอุปกรณ์สำนักงาน อุปกรณ์งานบ้านงานครัวต่างๆ เช่น โต๊ะเก้าอี้ กระดานไวท์บอร์ด เป็นต้น เรียกได้ว่าร้านนี้สร้างความประทับใจให้ได้เหมือนกัน เพราะรู้สึกว่าใช้พื้นที่ได้ดีกว่าร้านอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน รีบเดินดูรีบออกเพราะพนักงานเริ่มมองแล้วว่ามาซื้ออะไรหรือเปล่าเห็นเดินด้อมๆ มองๆ

ออกมาแล้วก็ระลึกถึงอาจารย์ที่เราจะไปหาเขาในวันแรกที่มาถึงแต่กลายเป็นว่ายังไม่ได้ไปเจอเลย ก็เลยยกโทรศัพท์โทรหาเขา ปรากฏว่าเขาว่างซื้อกับข้าวอยู่ที่ตลาดต้นพยอม เอาเลย ขี่มอไซด์ไปเจอกันเลย ระยะทางไม่ค่อยไกลเท่าไร แป้บเดียวก็ถึง เดินเก้ๆ กังๆ สักพักก็เจอกัน อาจารย์พงศ์สวาท นิยมค้า เป็นอาจารย์ที่ดูแลโครงการ Thai American Youth Cultural Exchange (TAYCE) นักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เราเคยเข้าร่วมสมัย ม.ต้น และเราต้องมาเชียงใหม่แทบทุกสัปดาห์เพื่ออบรมเรื่องต่างๆ

จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไป20ปีได้แล้ว แต่ละคนก็ร่วงโรยไปตามวัย แต่อาจารย์ยังดูมีแววของความกระตือรือล้นอยู่ในที อาจารย์เดินพาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างคล่องแคล่ว อาจารย์มอบลำไยอบแห้ง ชามิ้นท์ และพวงกุญแจ เป็นของที่ระลึกฝากไปให้พ่อกับแม่ ส่วนแคบหมูน้ำพริกไส้อั่วนั้น อาจารย์บอกว่าเธอต้องซื้อเองนะ 555

หลังจากปฏิบัติกิจเรียบร้อยแล้ว ผมถามอาจารย์ว่าอาจารย์ว่างไหมครับหลังจากนี้ .... เธอมีอะไรรึ ... คือ ผมจะเอามอไซด์ไปคืนร้านบิ๊กกี้แล้วผมจะต้องไปอาเขต ผมจะรบกวนอาจารย์ไปส่งหน่อยได้ไหมครับ ... ได้สิ ไม่มีปัญหาเลย เอาของไปใส่รถครูก่อน แล้วเดี๋ยวเธอไปเอากระเป๋าเอารถไปคืนแล้วเจอกันที่ แถวๆที่พักเธอเลย ... ขอบคุณมากๆเลยครับ :)
(ยิ้มแก้มปริเลย)

รีบขี่รถกลับไปคืนที่บิ๊กกี้ แล้วกลับไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่ฝากไว้ที่รีเซปชั่นมาเจออาจารย์พอดี ให้อาจารย์ขับไปส่งที่อาเขตทันเวลาพอดี ถ่ายรูปกับอาจารย์รูปนึงก่อนกลับ
โดยอธิบายภาพว่า "คนที่อยากเจอเป็นคนแรกเมื่อมาเชียงใหม่ แต่เป็นคนสุดท้ายที่ได้เจอ และเป็นคนที่มาส่งกลับบ้านด้วย"


เป็นอันจบทริปเชียงใหม่โดยสมบูรณ์ เพราะพอขึ้นรถแล้วก็นั่งๆ นอนๆ ไม่มีอะไรละ หลับๆ ตื่นๆ จนถึงนครสวรรค์ตอน สามทุ่ม ซึ่งเป็นวันที่เพื่อนๆ YE นครสวรรค์กินงานปีใหม่กันพอดี ก็เข้าร่วมงานเลยแบบงงๆ ใช้ชีวิตคุ้มมากช่วงนั้น

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด 2 ปีนะครับ เดี๋ยวจะเขียนเรื่องเกาหลีญี่ปุ่นบ้าง ไม่รู้จะต้องรออีกกี่ปีถึงจะเสร็จนะครับ

No comments:

Post a Comment