Friday, November 01, 2013

ไปเที่ยวเชียงใหม่ ธ.ค.2555 (วันที่ 2-3) (อันใหม่)

(ตอนแรกกะจะเขียน blog เรื่องการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น มาพบว่า blog เรื่องไปเที่ยวเชียงใหม่ปีที่แล้วยังเขียนไม่จบเลย จึงขอซัดให้จบไปก่อนแล้วค่อยเริ่มญี่ปุ่นนะครับ)

ตื่นเช้ามาวันนี้รู้สึกอากาศเย็นๆ ตกลงนอนคนเดียวตลอดคืน ไม่มีคนมานอนด้วย (ก็ดีแล้ว) ตอนเช้าหนาวนะ โรงแรมนี้ห้องกินข้าวเช้าอยู่ข้างนอกหน้าโรงแรม หนาวชะมัด ลมก็เย็น แต่แดดตอนเช้าก็สวยดี กินข้าวไปรู้สึกปวดหัว กินไม่ค่อยลง จะไม่สบายหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ (มาสรุปเอาภายหลังว่าเนื่องจากเมื่อวานไม่ได้กินกาแฟ) กินข้าวแล้ว ข้ามไปซื้อยาจาก 7-11 ฝั่งตรงข้ามมากิน เข้าห้องประชุมตลอดวัน น้องที่มาด้วยขอเสื้อแจกเก็ตไปใส่เนื่องจากน้องไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวมา ส่วนเราใส่เสื้อเชิ้ตและเสื้อยืดข้างในก็พอทนได้

การประชุมเป็นไปอย่างราบเรียบตามขั้นตอนของทางราชการ ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา สรุปเรื่องงบประมาณ และแนวทางให้น้องๆ ได้จัดทำโครงการต่างๆ พอตอนก่อนกินข้าวกลางวัน
ก็ได้พบกับคนที่จะมานอนด้วยในคืนนี้ มาจากจังหวัดแพร่ ครับเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาล กินข้าวกลางวันแล้วตอนบ่ายแบ่งกลุ่มประชุมต่อนิดหน่อยแล้วก็ ปล่อยให้ไปพักผ่อนได้ กลุ่มเรานัดกันว่าจะไปเดินเล่นที่กาดสวนแก้วข้างๆ และ ตอนเย็นๆ จะไปเดินเล่นถนนคนเดินที่วัวลายครับ

กาดสวนแก้ว ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ ที่อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ครั้งก่อนที่เรามาเชียงใหม่ ด้านในก็มีการปรับปรุงบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังโหรงเหรงบางส่วน ด้านหน้านอกอาคารตอนเย็นๆ มี
ตลาดนัดขายเสื้อผ้า อาหารต่างๆ เราทดลองกินอะไรซักอย่างจำชื่อไม่ได้แล้ว เป็นเหมือนห่อหมกแต่ใส่ไข่มดแดง อร่อยดี แต่จะอร่อยกว่านี้ถ้าไม่มีไข่มดแดงนะ


เดินวนในกาดสวนแก้ว 2-3 รอบก็ออกมาข้างนอก เดินไปคูเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กัน บริเวณนี้เรียกว่า แจ่งหัวริน ก็จะมีร้านกาแฟวาวี ในตำนานอยู่ (แต่จริงๆ ในเชียงใหม่มีร้านกาแฟวาวีเยอะมากนะ เดาเอาว่า แจ่งหัวรินนี่เป็นสาขาหลัก หรือเปล่าไม่แน่ใจ) สังเกตรถที่แล่นรอบๆ คูเมือง จึงพบว่า การแล่นของรถคือ รถในเกาะเมืองจะแล่นทวนเข็มนาฬิกา ส่วนรถนอกเกาะเมืองจะแล่นตามเข็มนาฬิกา เป็นวันเวย์ สลับกัน ต้องเรียนรู้ไว้เพราะวันหลังๆ จะอยูเที่ยวเองจะได้ชิน ไม่หลงทาง ข้ามคูเมืองไปเดินเล่นฝั่งตรงข้ามนิดหน่อย จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก มีวัด มีเกสต์เฮาส์ เดินดูแล้วก็ย้อนกลับมา

พอดีรู้มาว่ามีป้าของเราคนนึงเป็นมะเร็งและกำลังมาให้เคมีบำบัดที่โรงพยาบาลเชียงใหม่รามซึ่งอยู่บริเวณนั้นพอดีจึงขอแยกกับเพื่อนเพื่อไปทำเซอร์ไพรส์เขาเสียหน่อย ถ่ายรูปว่าเราอยู่ตรงหน้ารพ.แล้วโพสต์ถามลูกเขา เขาบอกห้องมาก็เลยเดินขึ้นไปหา เขาดีใจมากเลย คุยกันหลายเรื่อง แต่ก็บอกว่าต้องกลับแล้วเพราะต้องไปกินข้าวเย็น แล้วต้องไปถนนคนเดินอีก


เดินกลับมากินข้าวแล้วเตรียมตัวไปเดินถนนคนเดินวัวลายครับ พวกเรา 3 คน แก๊งนครสวรรค์ นั่งรถตุ๊กๆ จากหน้าโรงแรมไป (จำราคาไม่ได้แล้ว) คนขับเป็นป้าๆ มีลูกสาววัยรุ่นนั่งเบียดๆไปด้วย ผมถามว่า "ไปด้วยกันรึ"
เขาบอกว่า "ใช่ นี่แม่หนูเอง"
"อ้าว แล้วทำไมไม่รออยู่บ้านล่ะ มานั่งรถเบียดกับแม่ทำไม"
"เดี๋ยวหนูจะไปเรียนแล้ว ไปอยู่ไกลมากหนูอยากอยู่ใกล้ๆ แม่ให้นานที่สุด"
(คณะเราถึงกับอึ้งเลย) (3คน ค่ารถ 90 บาท)

ถึงถนนคนเดินวัวลายแล้วก็เริ่มเดินกันเลย ถนนคนเดินที่นี่ยาวมากครับ สินค้าที่เอามาขายมีทั้งหัตถกรรมท้องถิ่น ของกิน ของใช้ เสื้อผ้า เยอะมากๆ ครับ
เดินกัน 3 คน ก็ออกจะหลงๆ กันนิดหน่อย แต่ก็พอตามกันทันครับ

แวะวัดศรีสุพรรณ ระหว่างทาง ซึ่งเป็นวัดที่สร้างโดยใช้ชิ้นส่วนของโลหะในการแกะสลักตกแต่งอุโบสถ ครับ สวยมากๆ ครับ

ถนนคนเดินวัวลายนี้ไม่ได้อยู่บนถนนสายเดียวนะครับยังมีแตกแยกย่อยเข้าซอยด้านข้างไปอีกมากครับ เดินไม่ไหวเลยครับ บางเวิ้งเข้าไปในบริเวณวัดบ้าง ลานจอดรถบ้าง
เดินไป เดินกลับ สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้ออะไรกันเท่าไรครับ กลับที่พักดีกว่า

วันรุ่งขึ้นก็มีการประชุมต่อเนื่องจากเมื่อวานอีกนิดหน่อยครับ ตอนบ่ายก็แยกย้ายกันครับ มีประเด็นแปลกๆ ช่วงใกล้เลิกหน่อยนะครับ คือการเบิกเงินการเดินทาง
กลับมีเทคนิคในการเบิกที่มักมีความเชื่อว่าควรเบิกมากที่สุดเท่าที่จะเบิกได้ โดยสมมติเรื่องที่อยู่และวิธีเดินทางให้พิศดารที่สุด ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่แปลกมากๆ ครับ
และทางผู้จัดการประชุม ก็จ่ายทุกคนเป็นเงินสดใส่ซองไปเลย แปลกดีเหมือนกัน

ตอนบ่าย หลังจากจบการประชุมแล้ว ผมก็แยกออกมาจากคณะ โดยให้คนที่เหลือกลับนครสวรรค์ไปก่อน ส่วนผมอยู่เที่ยวต่ออีก 2-3 วัน ครับ

มา คราวนี้ มันส์ ล่ะสิ เอาไงดี
ขั้นแรกต้องหาที่พักก่อน
ที่พักที่ @ifew แนะนำไว้ตอนแรกอยู่ปากทางของถนนคนเดิน บริเวณประตูท่าแพ เป็น guesthouse ชื่อ บ้านนัดกัน(http://ifew.exteen.com/20120520/entry เว็บจริงๆเขาปิดไปแล้ว พอมีรูปอ้างอิงก็อยู่ที่นี่แหละ) ก็จริงอยู่ที่เขามีดีที่ Location ใกล้ถนนคนเดิน แต่เราขี้เกียจจะไปถึงนู่น เพราะมันแทบจะคนละทิศกับโรงแรมที่ประชุมเลย

ส่วนเพื่อนแม่ก็แนะนำไว้ว่าให้พักที่ห้วยแก้วเรสซิเดนท์ สิ ใกล้กาดสวนแก้ว ไม่แพงด้วย เขามานอนบ่อยตอนมาเยี่ยมลูกที่เรียน มช. วันละ 500 เอง (ราคาปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงลองถามใหม่นะ) มีห้องนอนห้องน้ำเสร็จสรรพ ปลอดภัยด้วย อืม..นะ ด้วยความขี้เกียจของเรา ก็เลยมองหาห้วยแก้วเรสซิเดนท์ นี่ล่ะ ใกล้ดี ไม่ต้องลากกระเป๋าไปไกล ขี้เกียจเดินเพราะเดินเมื่อคืนเยอะแล้ว เหนื่อย

ออกจากโรงแรมเชียงใหม่ออร์คิดส์มาถึงได้รู้ว่าตัดสินใจถูกแล้ว เพราะมองเห็นห้วยแก้วเรสซิเด้นท์ จากถนนเลย อยู่ติดกันเลย เหมือนไม่ได้เดินไปไหนไกล ทำเรื่องเข้าพักรายวัน 2 คืน
มีการเก็บเงินมัดจำค่าของเสียหาย1000บาท ก็ไม่เป็นไร หยวนๆ เอาของไปเก็บที่ห้อง ห้องก็เป็นเหมือนหอพักนักศึกษา มีเตียงเล็ก 2 เตียง ตู้เสื้อผ่า ตู้เย็น ทีวี โต๊ะเครื่องแป้ง ห้องน้ำ น้ำอุ่น ชักโครก แอร์ ปกติดี เอาของเก็บแล้ว ไปลุยกันเลยดีกว่า

การเดินทางในเชียงใหม่ คงไม่ดีแน่ถ้าเราต้องนั่งรถแดงตลอดเพราะได้ยินกิตติศัพท์มามากเรื่องอ้อม และ ราคาไม่แน่นอน ดังนั้นเราควรเลือกพาหนะอื่นที่พอมีปัญญาจ่ายและขับได้ นั่นก็คือ มอเตอร์ไซด์ นั่นเอง เดินออกมาหน้าซอยเลี้ยวขวาไปทาง ถ.นิมมาน ตามที่เมื่อวานได้เดินสำรวจแล้ว จำได้ว่ามีร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ ชื่อ Bikky อยู่ ลองไปถามเขาดูดีกว่า ไปถึงแล้วก็เลือก รุ่น Shogun เป็นมอไซด์แม่บ้านมีเกียร์ และตะกร้า เพราะเราบอกความต้องการว่าอาจจะต้องขึ้นเขาไปดอยสุเทพ ถ้าแบบไม่มีเกียร์สงสัยไม่โอเคกลัวมันขึ้นไม่ไหว (จริงๆ คือ ไม่เคยขี่แบบไม่มีเกียร์เป็นเรื่องเป็นราว กลัวจะไม่ถนัด) สนนราคาอยู่ที่ วันละ 200 บาท จะเช่ากี่วัน ก็ลองกะๆ ดูก็น่าจะ 2 วัน ล่ะ เขาให้เอารถมาคืนตอนเวลาเดียวกันนี้เลย เขาเก็บค่ามัดจำ บัตรประชาชน และให้ทำสัญญาเช่ารถไว้ เก็บไว้กับตัวเผื่อตำรวจขอตรวจค้น เช่าที่ไหนต้องมาคืนที่นั่นนะครับ รอทำเอกสารสักครู่ ก็เรียบร้อย เขาจะมาชี้จุดรอบๆ รถว่าตอนรับรถไปวันนี้รอบรถปกติดีไม่มีร่องรอยนะครับ ขอให้นำมาคืนแบบไม่มีรอยขีดข่วนนะครับ น้ำมันเติมให้เต็ม ตอนเอากลับมาคืนก็ช่วยเติมให้เต็มด้วยนะครับ เลือกหมวกกันน็อค1ใบแล้วไปกันเลย
วัดสวนดอก

ไปไหนดีล่ะ ร้านเขาให้แผนที่มาแผ่นนึง กะๆ เอาตามความรู้สึกคิดว่าไปดอยสุเทพไม่น่าทัน เอาใกล้ๆ นี่แหละ วัดสวนดอก ลองดูทริปใกล้ๆก็แล้วกัน ขี่ทะลุ ถ.ศิริมังคลาจารย์ ไปก็ไปทะลุ ถ.สุเทพ เลี้ยวขวานิดนึงก็ถึงวัดสวนดอกแล้ว เที่ยวแบบไม่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ใดๆ ก็ดูวัดวาอาราม มีงานบุญอะไรซักอย่าง ส่วนโบสถ์ที่ดูเหมือนศาลาการเปรียญก็กำลังทำการเปลี่ยนหลังคาอยู่ (ไปดูรายละเอียด) เดินชมวัดสักครู่ก็ร้อน อ้อ อากาศร้อนนะไม่ใช่ทำบาปแล้วร้อน ก็เลยไปขี่รถเล่นต่อดีกว่า ไปไหนต่อดี อ้อ ไประลึกความหลังดีกว่า เราไป มช.กัน

ถามว่า ไม่ได้เรียน มช. เสียหน่อย แล้วมาระลึกความหลังอะไร ช่วงปี 2537 (นานมาก) ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการยุวชนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-อเมริกัน หรือเรียกว่า Thai-American Youth Cultural Exchange (TAYCE) ซึ่งเป็นโครงการย่อยของ Friendship Force Chiangmai ซึ่งมี อ.พงศ์สวาท นิยมค้า เป็นผู้ประสานงาน โดยจะคัดเลือกเยาวชนจากภาคเหนือ เข้าร่วมเพื่อเดินทางไปทำกิจกรรมร่วมกันที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 5 สัปดาห์ สำหรับนครสวรรค์ ได้ครับคัดเลือกมา 6 ท่านครับ เป็นจังหวัดที่อยู่ไกลที่สุดที่ต้องเดินทางมาร่วมเข้าค่ายเตรียมตัวก่อนเดินทางไปสหรัฐอเมริกาครับ ช่วงนั้นมาเชียงใหม่เกือบทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์ใช้วิธีนั่งรถทัวร์บ้าง บางสัปดาห์ก็ให้พ่อแม่ขับรถมาบ้าง และศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมนั้นก็อยู่ที่ มช. นี่ล่ะครับ ทำให้มีวีรกรรมอะไรเกิดขึ้นที่นี่เยอะทีเดียว

นี่ยังไม่นับกิจกรรมที่มาเที่ยวเยี่ยมเพื่อน ป.ตรี ที่จบจากโรงเรียนนครสวรรค์ และ อื่นๆ อีกนะครับ อันนั้นก็มีบ้าง แต่ระยะเวลาสั้นๆ แต่ละครั้งแค่1-2วัน เท่านั้นครับ

 จริงๆ คือมีความทรงจำเรื่อง มช. มาแทรกอีกเรื่องหนึ่งคือ หนังสือของ คุณวีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์ เรื่อง บันทึกที่เล็ดลอดจากรั้วสีม่วง เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับ ชีวิตใน มช. ได้อย่างสนุกและมีแง่คิดที่ดี ผมอ่านตอนสมัยมัธยมต้น เพราะ นักเรียนมัธยมส่วนใหญ่ที่นครสวรรค์ จะมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะสอบโควต้า มช.ให้ได้จะได้มีที่เรียนไม่ต้องไปฝ่าฟัน entrance กับส่วนกลาง ดังนั้น โรงเรียนนครสวรรค์ จึงมีนักเรียนสอบเข้าศึกษาต่อที่ มช. มากเป็นอันดับต้นๆ ของภาคเหนือเลยครับ ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ครับ น่าภูมิใจจัง

กลับมาสู่ยุคปัจจุบันกันต่อ

ขี่มอเตอร์ไซด์ออกจากวัดสวนดอกเลี้ยวซ้าย ถนนก็จะมุ่งหน้าไปทางดอยสุเทพ เข้า มช.ทางประตู คณะวิศวะ ผ่านคณะต่างๆ เรื่องราวของ ดากานดา ไข่ย้อย ก็แว่บเข้ามาในหัว อากาศเย็นๆ แดดบ่ายอ่อนๆ นักศึกษาทำกิจกรรมกัน แหม บรรยกาศแสนสุขจริงๆ แวะไปที่แรกคือ Uniserv คือเรียกว่าเป็นที่อดีต uniserv ดีกว่า เพราะตอนนี้อาคารนี้เปลี่ยนเป็นคณะรัฐศาสตร์แล้ว ครับ เมื่อก่อนจำได้ว่ามาเชียงใหม่เรื่อง TAYCE ทีไร ก็มาพักที่นี่ล่ะ และใช้ห้องประชุมต่างๆ ทำกิจกรรมที่นี่เลยตลอดหลักสูตร พอมาครั้งนี้กลายเป็นอาคารเรียนไปแล้ว ส่วน Uniserv อาคารบริการเรื่องที่พักและห้องประชุมย้ายออกไปอยู่ด้าน ถนนนิมมาน ใกล้ สวนสุขภาพ แล้วครับ ก็อดคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ไม่ได้ ถึงไม่ใช่แบบที่เราคิดก็ยังอุตส่าเดินขึ้นเดินลง วนอาคารเขาหลายรอบเลยครับ
ตึก uniserv ที่ตอนนี้กลายเป็นคณะรัฐศาสตรืไปแล้ว
อีกสถานที่ๆที่มีความประทับใจคือ อ่างแก้ว ครับ จากหนังสือบันทึกที่เล็ดลอดนั่นเอง จะมีเรื่องอ่างแก้ว ฝายหิน กาดเชิงดอย อะไรต่างๆ นี้ ซึ่งเวลาผ่านไปกว่า 20 ปี แล้ว ผมก็ยังไม่เคยเห็นครบทุกอย่างเลย เอาวะ มาคราวนี้จะต้องไปดูให้รู้แน่ๆเลย... สุดท้าย หลงทางวนไปวนมาใน มช. นี่ล่ะ ไปโผล่คณะนู้นที คณะนี้ที ทางตันบ้าง ถามทางแล้วไปผิดบ้าง แต่สุดท้ายก็ได้ภาพอ่างแก้วมาครับ สวย สงบ เหมือน 20 ปีก่อนเลย แถมลานที่พวกเราเคยทำกิจกรรมละลายพฤติกรรม ก็ยังอยู่ดีครับ แหม เห็นภาพแล้วก็คิดถึงกิจกรรมฮาๆ พวกนั้นน่าดู ถ่ายรูปแล้วก็คิดว่าน่าจะอยู่ใน มช.มาพอสมควรแล้ว ควรออกไปดูอย่างอื่นบ้างนะ เลยขี่รถออกมาทางศาลาธรรม ประตูมช.ด้านถนนห้วยแก้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนรับปริญญามาถ่ายรูปกัน เอ.. มช.เขารับปริญญาช่วงนี้รึ? ไม่รู้แฮะ
อ่างแก้ว ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ออกมาแล้วเลียบๆ มาตามถนนห้วยแก้ว หันหน้ากลับไปยังคูเมือง กางแผนที่ดูว่าแถวนี้มีอะไรเที่ยวอีกนะ สวนสัตว์ไม่ไปแน่ อ้อ มีวัดเจ็ดยอด อยู่ในรัศมีพอไปได้นี่นะ อยู่ ถ.เชียงใหม่-ลำพูน ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายก็น่าจะถึง ปรากฏว่า ขี่ไปเกิดมึนอะไรไม่รู้ ดันเลี้ยวที่ถนนเลียบคลองชลประทาน แทนที่จะไป ถ.เชียงใหม่-ลำพูน ถนนใหญ่เป็นไฮเวย์ ขี่บนไหล่ทางไปสักพักก็เริ่มสงสัยว่าทำไมไม่ถึงเสียที ออกมานอกเมืองขึ้นเรื่อยๆ มีป้ายวัดเจ็ดยอดชี้ไปทางขวา อีกฟากถนนต้องยูเทิร์นไป .. เอ..ไม่น่าจะถูกต้องนะ เพราะมันควรอยู่ทางซ้ายสิ งั้นต้องหาทางยูเทิร์นก่อน กว่าจะถึงทางยูเทิร์นก็ได้ผ่านศูนย์ประชุมนานาชาติเชียงใหม่ ใหญ่มากๆ เลยครับ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเสียหน่อย พอยูเทิร์นแล้ว ถามชาวบ้านแถวนั้นอีกที เขาบอกว่าเข้าซอยไปเดี๋ยวก็ถึง ตอนนั้นกังวลมากเพราะเหมือนอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ถ้าจะกลับไปจุดเริ่มต้นก็ไกลอีก เสียเวลาแน่ๆ เลย เอาวะ ก็ไม่มีอะไรจะเสียนี่นา เลี้ยวเข้าซอยตามที่ ชาวบ้านเขาบอกก็ได้ ซอยลัดเลี้ยวเคี้ยวคด มานึกอีกทีตอนนี้ก็ยังคิดว่าโชคดีจัง ป้ายบอกทางก็ไม่มี คิดอย่างเดียวว่าต้องลงใต้ๆ ก็มาเจอวัดเจ็ดยอดจนได้ ที่วัดเจ็ดยอดนี้ มีเจดีย์เจ็ดยอดเป็นที่หลัก และ เจดีย์เล็กอีก 2-3 องค์ คล้ายๆว่าเป็นสถานที่สำคัญของเจ้านายล้านนาในอดีต ก็อย่างว่าล่ะ ไปเที่ยวแบบไม่มีการศึกษาเท่าไร ก็อ่านๆตามป้าย บ้าง เดาเอาบ้างนะครับ ไม่ว่ากันนะ
วัดเจ็ดยอด (โปรดสังเกต นี่คือการวางกล้องบนพื้นแล้วถ่ายจับเวลา)

ถ่ายรูปจนสาแก่ใจแล้วก็ออกมาหน้าวัด จึงถึงบางอ้อว่า ที่หาวัดไม่เจอแต่แรกก็เพราะเราเลี้ยวผิดถนนนี่เอง ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ที่อยู่หน้าวัดนี้ ถ้ามาทางนี้รับรองไม่หลง เจอวัดแน่ๆ เฮ้อ..ออกมาเห็นป้าย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ เออ น่าไปวุ้ย เลี้ยวรถทันที ไปถึง ปรากฏว่าปิดแล้ว อด แล้วไงต่อล่ะทีนี้ ขี่ต่อไปงงๆ เริ่มชักหลงทางละ ถนนกว้างและเวิ้งว้าง ไม่มีบ้านคน นี่ขี่ไปเรื่อยๆ จะถึงลำพูนหรือเปล่านะ แอบแวะข้างทางเปิดแผนที่ดูปรากฏว่าเราขี่มาถึงแถวสี่แยกข่วงสิงห์ แล้ว ซึ่งเป็นด้านเหนือของเมืองเชียงใหม่ ไม่ได้การล่ะ เลี้ยวกลับไปในเมืองดีกว่า เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ ถึงสี่แยกเลี้ยวขวาเข้าเมือง แถว ถ.ช้างเผือก ผ่าน ราชภัฏเชียงใหม่ และ ร้านเชียงใหม่สมุดลานนา Seniorsoft สาขาเชียงใหม่ ด้วย ดูในแผนที่เห็นว่ามีวัดกู่เต้าอยู่ใกล้ๆ ลองแวะไปดีกว่า ปรากฏว่า ดีมากครับ วัดนี้อยู่ใกล้ๆ อาเขตเก่า ในเมืองเชียงใหม่ เป็นวัดลักษณะเหมือนของชาวพม่า มีลวดลายปูนปั้นสวยงาม มีเจดีย์ทรงน้ำเต้าซ้อนกันหลายๆชั้น บรรยากาศขลังดี พอดีกับว่ามีพระเถระชั้นผู้ใหญ่เพิ่งกลับเข้ามาจากข้างนอก เณรที่ไปเปิดประตูรถให้ก้มกราบลงกับพื้น การกระทำแบบนี้ไม่ค่อยพบในวัดพุทธแบบภาคกลางครับ
วัดกู่เต้า กับเจดีย์ทรงแปลกๆ

แดดเริ่มลดลงบรรยากาศวัดเริ่มมืดแล้ว ก็เลยออกมาดีกว่า ที่ต่อไปที่จะแวะไปถือว่าเป็นไฮไลท์ของวันคือถนนคนเดินท่าแพ นั่นเอง ไปยังไงดี ลองดูแผนที่อีกแล้ว จาก ถ.ช้างเผือกถ้าตรงเข้าไปเลยก็ได้เหมือนกัน เอาทางนี้แหละวะ หลงทางมามากแล้ว ไม่ต้องหาทางลัดแล้ว ตรงๆ เลย ตรงข้ามคูเมืองเข้ามาในเกาะเมือง ถ.พระปกเกล้า สุดทางก็มาติดตันที่แถวๆ วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ (ตอนแรกก็สงสัยว่ามาผิดหรือเปล่า วัดอุโมงค์มันอยู่หลัง มช. นี่ ทำไมมาอยู่ในเกาะเมืองล่ะ จริงๆ แล้วชื่อคล้ายกันเฉยๆ) ไปต่อไม่ได้แล้วเพราะถนนปิดและมีรถจอดปิดหมดเลย แวะเข้าไปกราบพระในวัดอุโมงค์แก้กลุ้มแก้หลงทาง ลัดเลาะอีกทีเพื่อไปหาที่จอดรถใกล้ๆ หน่อย ลัดเลาะมาโผล่ที่ ข้างๆอนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์เลยครับ เอาละ ไม่ไปไหนแล้ว ตรงนี้ล่ะ จอดปุ๊บเสียค่าฝากรถปั๊บ แหมเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับแหล่งท่องเที่ยวทุกที่เลยนะครับ แวะกินน้ำหวานร้านนมแถวนั้นเพื่อเนียนขอเข้าห้องน้ำด้วย เรียบร้อยแล้ว ไปเดินลุยกันเลย
อนุสาวรีย์สามกษัตริย์

ผมเริ่มเดินถนนคนเดินจากตรงกลาง ซึ่งคิดผิดมากๆเพราะมันไกล และต้องเดินวนไปวนมา แต่ก็ไม่ไหวแล้ว ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย รีบเดินรีบกินดีกว่านะ เริ่มเดินตามถ.ประชาธิปก ไปตัด กับ ถ.ราชดำเนิน ซึ่งเป็นถนนเส้นกลางของ เกาะเมือง และเป็นเส้นกลางของถนนคนเดินด้วย ด้านหนึ่งจะไปโผล่ประตูท่าแพ และอีกด้านจะไปสุดที่วัดพระสิงห์ ผมเลือกเลี้ยวซ้ายเดินไปทางประตูท่าแพก่อน ผ่านร้านขายของมากมาย จะว่าไปก็คล้ายๆกับวัวลายเมื่อคืนนี้เลย แต่จำนวนจะเยอะกว่า ขณะที่เดินๆ อยู่ก็เจอกับ คุณแทน @tanbunfu โดยบังเอิญ คุณแทน ทำงานที่ tamarind village ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณนั้นเอง เป็นเพื่อนกันทางทวิตเตอร์ เคยเจอกันครั้งหนึ่งที่ งานท่องเที่ยวที่ศูนย์สิริกิติ์ ครับ คุยกันสักพัก ก็แยกย้ายกัน ผมเดินไปจนถึงปลายถนนด้านประตูท่าแพ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อยแล้วเดินกลับ อ้อ ระหว่างทางตรงนี้แวะดูบ้านนัดกัน guesthouse ที่ตอนแรก @ifew แนะนำ แต่ไม่ได้มาพักด้วย ก็ไม่ไกลจากถนนคนเดินจริงๆ ครับ แต่ว่าไกลจาก กาดสวนแก้ว จึงไม่ได้เลือกมาพักครับ
คนจะเยอะไปไหนนะ

เดินย้อนกลับมาแล้วเลี้ยวซ้ายไปทางถนนประชาธิปกอีกด้านหนึ่ง ด้านนี้ จะมีวัดเจดีย์หลวง วัดพันเตา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจครับ ตอนกลางคืนเขามีการตกแต่งอย่างสวยงามครับ วัดระหว่างทางเช่นวัดพันอ้น วัดสันเปา ในวัดก็จัดให้มีงานทำบุญและทำพื้นที่ให้เชื่อมต่อกับ ถนนคนเดินเพื่อเรียกคนเข้าวัดด้วย ระหว่างทางที่เดินมานี้ ก็มีการซื้อขนม ไส้กรอก กินเป็นระยะๆ เนื่องจากหิวแล้ว อาหารก็ไม่ได้แพงนะ แต่แค่ยังไม่อยากนั่งกินก็เลยซื้อๆ จิ้มๆ ไปเรื่อยๆ เดินย้อนมาแล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีไปที่วัดพระสิงห์ พบตำรวจร้องเพลงที่เคยมาออกทีวีด้วย ขากลับจากวัดพระสิงห์ แวะซื้อพวงกุญแจไป 2 แผงเผื่อกลับมานครสวรรค์แล้วต้องเอาไปแจกใคร แล้วก็เดินกลับไปที่รถ สิริรวมเวลาที่ใช้ในการเดินถนนคนเดินคือ 2 ชั่วโมงกว่าๆ คือ ทั้งเดิน ทั้งกิน และซื้อของ แต่ค่อนข้างไล่ควายนิดหน่อย เพราะใจจริงก็ซื้อของแบบนี้ไม่เก่งเลย
ประตูท่าแพ

หิวอีกแล้ว คราวนี้อยากกินอาหารเป็นจานๆ แล้ว ทำไงดี แถวนี้ร้านไหนอร่อยจะรู้ได้ไง ถ้าไม่ได้ไม่ดีจริงเดี๋ยวไปเซเว่นแถวโรงแรมก็ได้ วนหาอยู่หลายนานเลยเลิกหาไปจบเอาที่ตลาดโต้รุ่ง ตลาดช้างเผือก ซึ่งมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรนครสวรรค์ ด้วยนะ แต่ขอโทษที กินข้าวกะเพราไข่ดาวครับ พอกินได้ ให้ท้องอิ่มแล้วก็กลับไปนอน

เฮ...จบวันแล้ว

No comments:

Post a Comment